วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

คังเซน คอฟฟี่ คอลลาเจน พลัส Coffee Collagen Plus (NEW!!)

Kangzen Of ChiangRAI 
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

คังเซน คอฟฟี่ คอลลาเจน พลัส Coffee Collagen Plus (NEW!!)



กาแฟไขมันต่ำ ปราศจากโคเลสเตอรอล มีวิตามัน เอ,ดี,บี6,บี12 อีกทั้งยังเป็นแหล่งของแคลเซียม เหล็ก โครเมียและสังกะสี ควบคุมน้ำหนักและบำรุงผิวพรรณ

Kangzen Coffee Collagen Plus จึง เป็นคำตอบที่ลงตัวสำหรับคนที่กำลังมองหากาแฟสำเร็จรูปที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ ควบคุมน้ำหนักและบำรุงผิวพรรณไปด้วย คังเซน คอฟฟี่ คอลลาเจน พลัส มีส่วนผสมของสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เป็นมิตต่อสุขภาพด้วย

ส่วนผสมสำคัญของกาแฟคังเซน Coffee Collagen Plus
- ครีมเทียม 56.031% ทำให้กาแฟมีรสชาติเข้มข้นขึ้น เพิ่มความ หอม มัน
- ผงกาแฟ 28.000% ใช้กาแฟโรบัสต้า และอราบิก้า
- โอลิโกแซคคาไรด์ 6.990% ช่วยรักษาสมดุลจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้
- คอลลาเจนเปปไทด์ 4.750% สร้างความแข็งแรงของชั้นผิวหนัง
- สารสกัดจากถั่วขาว 1.000% Block แป้ง
- สารสกัดจากดอกคำฝอย 1.000% ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญ
- สารสกัดจากเมล็ดองุ่น 0.400% ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิว
- อะซีซัลเฟมเค 0.400% สารให้ความหวานที่ ไม่ให้พลังงานหรือพลังงานต่ำ
- แอสปาร์แตม 0.400% สารให้ความหวานที่ ไม่ให้พลังงานหรือพลังงานต่ำ
- วิตามินผสม 0.200% ช่วยในกระบวนการทำงานของร่างกาย
- แอล-กลูต้าไธโอน 0.120% ช่วยกระบวนการสร้างเมลลานิน
- ไตรซิงก์ซิเทรต 0.005% ช่วยในกระบวนการต้านอนุมูลอิสระ
- โครเมียม อะมิโน แอซิด คีเลท 2%)0.004% ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมัน
- แต่งกลิ่นเลียนธรรมชาติ



วิธีรับประทาน

- ใช้ เฮลท์ติ-เซน คอฟฟี่ ยัว สริม คอลลาเจน พลัส 1 ซอง ต่อน้ำร้อน 1 แก้ว (120 มิลลิลิตร)

คังเซน คอฟฟี่ คอลลาเจน พลัส ขนาดบรรจุ 20 ซองต่อกล่อง มีคอลลาเจนเปปไทด์ 16,000 mg. ต่อกล่อง จัดเต็มแน่นด้วยคุณภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีและผิวพรรณ ครบทุกความต้องการ มั่นใจได้ในคุณจากคังเซน ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าความงามและสุขภาพมายาวนานตั้งแต่ปี 2536 ผ่านทางสมาชิกตัวแทนจำหน่าย ตัวแทนจำหน่ายโดยตรง บริการจัดส่งถึงที่โดยบริการ EMS ของไปรษณีไทย...คุณจึงมั่นใจ ว่าได้สินค้าของแท้คุณภาพใหม่ สด เสมอ ไม่มีสินค้าค้างสต๊อกส่งให้ท่านแน่นอน 



แนะนำ >> ปรึกษาความสวยงามเพิ่มเติม +668-6917-6222 เอ็ม
http://www.kangzenofcr.com/14986137/กาแฟเพื่อสุขภาพและผิวพรรณ-new

เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เม็ดสีเมลานิน (Melanin)

Kangzen Of ChiangRAI
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

เม็ดสีเมลานิน (Melanin)
ถูกสร้างในชั้นหนังกำพร้า โดยเซลล์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เมลาโนทัยท์ (melano cytes)
จะอยู่บริเวณชั้นของ Stratum basale ซึ่งจะปล่อยเมลานินเข้าไปในเซลล์ของหนังกำพร้า
ที่อยู่ใกล้เคียง
 ( จากข้อมุลข้างต้นทำให้อธิบายได้ว่า ในกลุ่มที่ใช้อาหารเสริมกลุ่ม L-Glutathione เพื่อวัตถุ
ประสงค์ให้ดูผิวขาวขึ้นนั้น กลไกการทำงานของกลูต้าไทโอน จะไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน
จากเซลเมลาโนไซท์ แต่กว่าจะเห็นผลของชั้นผิวหนังที่มีปริมาณเม็ดสีเมลานินน้อยลงนั้น ต้อง
รอให้เซลก่อนหน้านั้นซึ่งมีเม็ดสีเมลานินอยู่แล้วนั้นให้ลอกออกไปตามไซเคิลเสียก่อน ซึ่งใช้
ระยะเวลาของการหลุดลอกเซลเก่าออกไปใช้ระยะเวลาช่วง 30 - 40 วัน ชั้นผิวใหม่ที่มีเมลานิน
สะสมอยู่ในเซลที่ลดลงถึงจะเผยโฉมออกมาให้เห็นได้ และจะวนรอบเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆหากยังมี
การใช้กลูต้าไทโอน อย่างต่อเนื่อง )
พอผิวหนังถูกแสงแดดมากขึ้น เมลานินจะถูกสร้างมากขึ้น ทำให้ผิวเป็นสีน้ำตาลแดง จะพบได้
ในพวกฝรั่ง พวกนิโกรผิวดำ จะมีผิวที่แผ่รังสีความร้อนได้ดีกว่าพวกผิวขาว บางพวกมีผิวหน้า
สีเหลือง ก็เนื่องจากเม็ดสีเหลืองหรือ “คาโรตีน” ที่อยู่ในชั้นนอกของหนังกำพร้า พวกที่ผิวตก
กระ ก็เนื่องจากมีเซลล์ เมลาโนซัยท์ที่เสื่อมคุณภาพสร้างเม็ดสีเมลานินไม่ได้ มาอยู่รอบๆ
กระจุกของเม็ดสี

กลไกการรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง
1.เซลล์ชั้นนอกสุด (stratum corneum) หรือที่เรียกว่าชั้นขี้ไคลเป็นเซลล์ที่ไม่มีชีวิตแล้วและ
   ด้วยชั้นไขมันหุ้มภายนอก ถัดไปเป็นชั้นโปรตีนเป็นปลอกหุ้มเซลล์ผิวหนังชั้นนี้ และมีโปรตีน
   ที่เรียกว่า เคอราติน (keratin) เป็นส่วนประกอบภายในเซลล์ ป้องกันไม่ให้น้ำทะลุผ่านเซลล์
   ผิวหนังออกสู่ภายนอก  
2.ชั้นไขมันแทรกอยู่ระหว่างเซลล์ผิวหนังชั้นขี้ไคล ชั้นไขมันนี้สร้างจากเซลล์ผิวหนัง ประกอบ
   ด้วย ceramides, cholesterol, cholesterol sulfate, triglyceride เป็นต้น ทำ
   หน้าที่ปิดกั้นไม่ให้น้ำในร่างกายซึมผ่านช่องระหว่างเซลล์ผิวหนังออกสู่ภายนอก  
3.ไขมันจากต่อมไขมัน ต่อมไขมันที่หลั่งสารไขมันออกตามรูขุมขน สารไขมันจะแผ่ออกเคลือบ
   ผิวของชั้นหนังกำพร้า ป้องกันไม่ให้น้ำซึมผ่านเซลล์และช่องว่างระหว่างเซลล์ออกสู่ภายนอก                
 
การรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง อาศัยคุณสมบัติของผิวหนังชั้นนอกสุดและไขมันที่เซลล์ผิว
หนัง และต่อมไขมันสร้างขึ้นมาควบคุมไม่ให้น้ำซึมผ่านออกสู่ภายนอกร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีการรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังตามธรรมชาติ (natural moisturizers)
สารต่างๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่ คือ กรดอะมิโน อนุพันธ์ (derivative) กรดอะมิโนและเกลือของ
กรดอะมิโน เป็นสารรักษาความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง สารเหล่านี้ ได้แก่  
1.Sodium 2 pyrrolidone 5 carboxylic acid
2.Urea
3.Lactic acid  
จากความรู้เรื่องสารรักษาความชุ่มชื้นตามธรรมชาตินี้ ได้มีการนำสารดังกล่าวมาผสมในมอยส์
เจอไรเซอร์ชนิดต่างๆ  

ทำไมผิวหนังจึงแห้ง : ผิวหนังแห้งเป็นผลจากการเสียน้ำออกจากผิวหนัง เกิดจากกลไกสำคัญ
3 ประการ  
1.ผิวลอกเป็นขุยจากความผิดปกติในการสร้าง (keratin) ทำให้เสียความสามารถในการรักษาน้ำ
  ไว้ที่ผิวหนัง  
2.ชั้นหนังกำพร้ามีการหมุนเวียนเร็วกว่าปกติ ทำให้ไม่มีเวลาพอในการสร้างผิวหนังชั้นนอกสุด
   หรือชั้นขี้ไคลที่สมบูรณ์ได้ หนังกำพร้าชั้นนอกสุดมีส่วนประกอบเป็นชั้นไขมันแทรกอยู่
   ระหว่างเซลล์ผิวหนังชั้นขี้ไคล ผิวหนังที่มีการหมุนเวียนรวดเร็วจะไม่สามารถสร้างชั้นไขมัน
   ได้ทัน จึงเสียความสามารถในการรักษาน้ำให้คงอยู่ในผิวหนังไป  
3.มีการทำลายของผิวหนังชั้นหนังกำพร้าจากสารเคมี เช่น detergents ทำให้สูญเสียไขมัน
   ชั้นหนังกำพร้าไป เป็นผลให้ผิวหนังสูญเสียน้ำออกสู่สิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้น การเกิดภาวะผิว
   แห้ง อาจเป็นผลจากกลไกใดกลไกหนึ่งหรือเกิดจากทั้ง 3 กลไก พร้อมๆ กันได้

แนะนำ >> ปรึกษาความสวยงามเพิ่มเติม +668-6917-6222 เอ็ม

เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สิวกับสุขภาพ ทำนายได้จากตำแหน่งของสิวบนใบหน้า

Kangzen Of ChiangRAI
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

สิวกับสุขภาพ ทำนายได้จากตำแหน่งของสิวบนใบหน้า

หน้าผากด้านซ้ายและขวา
          อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : การย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ต่อมหมวกไต
         บ่งบอก : มีความเครียดสูง

 ระหว่างคิ้ว
         อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ตับ
         บ่งบอก : อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโตส ทำให้ดื่มนมไม่ได้

 ใบหูซ้ายและขวา
         อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ไต
         บ่งบอก : มีของเสียคั่งค้างในร่างกาย อาจทำให้ตัวบวมได้

 แก้มซ้ายและขวา
         อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ไซนัสและปอด (แก้มส่วนบน) เหงือกและฟัน (แก้มส่วนล่าง)
         บ่งบอก : แพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้เรื้อรัง หรือถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้ม อาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือทางเดินหายใจ

 รอบดวงตาซ้ายและขวา
         อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ไตและภูมิแพ้
         บ่งบอก : การมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก พักผ่อนน้อยหรือขาดสารอาหาร

 จมูกและเหนือริมฝีปาก
         อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : หัวใจและระบบสืบพันธุ์
         บ่งบอก : ถ้ามีสิวสีแดงเข้มขึ้นบริเวณจมูก บ่งบอกถึงโรคความดันโลหิตสูง แต่ถ้าเป็นสิวอุดตัน จะบ่งบอกถึงระบบฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ประจำเดือน วัยทอง หรือการใช้ยาคุมกำเนิด

 ใต้ริมฝีปากด้านซ้ายและขวา
         อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : รังไข่
         บ่งบอก : ปัญหาสมดุลด้านฮอร์โมน แต่ถ้ามีปัญหาการอุดตันของสิวบริเวณใบหู แสดงว่าฟันกรามมีปัญหาที่มาจาก

แนะนำ >> ปรึกษาความสวยงามเพิ่มเติม +668-6917-6222 เอ็ม

เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เรื่องที่ต้องเปิดเผย...ของจุดซ่อนเร้น

Kangzen Of ChiangRAI
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

จุดซ่อนเร้น
เรื่องที่ต้องเปิดเผย...ของจุดซ่อนเร้น

          แค่ ดูแลความสะอาด หมดจดตั้งแต่โคนผมจรดปลายเท้า ก็นับว่าคุณได้ถ้วยชนะเลิศ สาขาสุขอนามัยไปแล้ว แต่ข้อมูลต่อจากนี้ จะทำให้สาวรักสุขภาพได้รางวัลพิเศษ...สิ่งนั้นคือ เสน่ห์จากของรักของหวง ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสตรีเพศ และนี่เป็นเรื่องของจุดเร้นลับที่สุดในร่างกาย ที่สมควรอย่างยิ่งกับการนำมาเปิดเผย!!!

ทำ ความรู้จักกับ "คุณน้อง"

          อวัยวะเพศของสตรีที่เราขอเรียกแบบลำลองว่า "คุณน้อง" เริ่มจากภายนอกที่เป็นเนินไขมันปกคลุมลงมาตั้งแต่หัวเหน่า และมีขนอ่อนขึ้นปกคลุมมากน้อยแล้วแต่กรรมพันธุ์ของแต่ละคน

          จากนั้นก็มีกลีบเนื้อ ที่มีลักษณะเหมือนประตูปิดช่องทางที่จะเข้าไปเชื่อมต่อกับอวัยวะภายใน โดยที่ส่วนบนของกลีบเนื้อดังกล่าว จะมาบรรจบกันเป็นหนังหุ้มปุ่มปมประสาท สัมผัสที่รับรู้เกี่ยวกับการกระตุ้นทางเพศที่เรียกว่า "คลิตอริส" (Clitoris)

          บริเวณปากทางที่กลีบเนื้อสองข้างมาปิดเอาไว้ คือ ปากช่องคลอด ซึ่งจะเป็นช่องทางลึกเข้าไปภายใน ช่องคลอดของผู้หญิงนั้นจะมีลักษณะเป็นลูกคลื่นเป็นลอน ๆ เพื่อช่วยในการขับถ่ายเอา "ตกขาว" ซึ่งเกิดจากการหลุดลอกตัวของผิวหนัง ที่ปกคลุมช่องคลอดอยู่รวมกับน้ำเมือกต่าง ๆ ออกมา

ธรรมชาติ ของเธอ
          ตกขาวของผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาถ้า มีลักษณะเป็นสีขาวขุ่น ไม่มีกลิ่นและไม่มีอาการระคายเคือง และจะมีมากขึ้นในช่วงเวลาที่ใกล้จะมีรอบเดือน หลังจากรอบเดือนผ่านไป ตกขาวจะมีลักษณะใส ๆ และมีน้อยลง จากนั้นจะมีเมือกใส ๆ เพิ่มมากขึ้นใน ช่วงกลางของรอบเดือน เมื่อมีการตกไข่

          ส่วนที่ลึกที่สุดของช่องคลอดจะต่อเนื่องกับปากมดลูก ที่จะเป็นทางเชื่อมต่อเข้าสู่โพรงมดลูก ท่อรังไข่และช่องท้องส่วนอุ้งเชิงกราน ปากมดลูกนี้จะเปิดขยายและมีมูกออกมามาก ในวันที่มีการตกไข่ช่วงปลายของรอบเดือน เพื่อให้ตัวอสุจิมาสามารถแหวกว่ายเข้าไปภายในโพรงมดลูกได้ง่ายขึ้น


          ถ้ามีเพศสัมพันธ์ในวันดังกล่าว และเมื่อเวลามีประจำเดือนออกมา เนื่องจากการหลุดลอกตัวของเยื่อบุโพรงมดลูก ปากมดลูกก็จะเปิดออกอีกครั้ง เพื่อให้เลือดประจำเดือนไหลออกมาจากโพรงมดลูก เข้าสู่ช่องคลอดและออกสู่ภายนอก

          ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่สุขอนามัยของ "คุณ น้อง" จะอ่อนแอ และถ้าไม่รักษาความสะอาดให้ดี อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียจากภายนอก รุกรานผ่านปากมดลูกที่เปิดขยาย เพราะมีเลือดประจำเดือนเป็นอาหารอันโอชะ จนแบคทีเรียเกิดการแพร่พันธุ์ ทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อของมดลูกและปีกมดลูกได้

          ช่วงเวลาที่มีประจำเดือน จึงต้องเป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงจะต้องรู้จักการทำความสะอาดอวัยวะเพศอย่างถูก วิธี เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้

          อย่างไรก็ตาม ภายในช่องคลอดนั้นจะมีเชื้อแบคทีเรียที่เป็นมิตรต่อมนุษย์อาศัยอยู่ มีชื่อว่า แลคโตแบซิ ลลัส (Lactobacillus) แบคทีเรียชนิดนี้จะทำหน้าที่เหมือนทหารยามคอยปกป้อง ไม่ให้เชื้อโรคภายนอกรุกรานเข้าไปทำอันตราย โดยการปรับสภาพแวดล้อมภายในช่องคลอด ให้เป็นกรดอ่อน ๆ มีค่าความเป็นกรดด่างอยู่ที่ประมาณ 4-4.5 ซึ่งไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายอื่น ๆ

          การรับประทานยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมกว้างเป็นเวลานาน จะไปทำลายแบคทีเรียแลคโตแบซิลลัสที่เป็นมิตรให้หมดไป จนเชื้อโรคประเภทเชื้อราฉวยโอกาสเข้ามา ทำให้เกิดการอักเสบได้ เช่นเดียวกับการสวนล้างช่องคลอดด้วยน้ำหรือน้ำยาฆ่าเชื้อ นอกจากไม่เกิดประโยชน์แล้ว ยังจะไปทำลายแบคทีเรียที่เป็นมิตรซึ่งทำหน้าที่ ป้องกันโรคที่อาศัยอยู่ภายในช่องคลอดด้วย

เรียน รู้ เพื่อดูแล
          ปกติ ช่องคลอดผู้หญิงจะรู้จักทำความสะอาดภายในเองอยู่แล้ว โดยขับออกมาเป็นตกขาวซึ่งบางครั้งอาจจะมาก บางเวลาก็อาจจะน้อย การชะล้างเพียงภายนอกให้ตกขาวที่ออกมาเปรอะเปื้อนหมดไป ก็เป็นการเพียงพอแล้ว

          แต่การ เรียนรู้ที่จะดูแลสุขอนามัยของอวัยวะเพศสตรีนั้น เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่จะต้องเรียนรู้เพื่อที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีซึ่งต่อไปนี้ จึงเป็นหลักการและวิธีการที่แนะนำ...

ขน อ่อน ๆ ภายนอก
          ธรรมชาติ มีไว้ช่วยป้องกันไม่ให้กลิ่นต่าง ๆ ที่อับชื้นระเหยออกมา จึงไม่ควรที่จะถอนทึ้งหรือดึงเล่นแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ควรโกนหรือย้อมสีด้วย จะอนุญาตก็แค่เล็ม ๆ ตัดแต่งให้สวยงามเท่านั้น


บริเวณซอกหลีกและรอยพับของกล้ามเนื้อ
          ถ้ามีคราบไคลมาหมักหมมก็ให้ชะล้างออก ด้วยน้ำอุ่น ๆ ถ้ายังสะอาดไม่พอ การใช้โฟมอนามัยเฉพาะที่ ที่มีความเป็นกรดด่างใกล้เคียงกับผิวหนังบริเวณดังกล่าว คือประมาณ 5.5 ก็จะช่วยให้รู้สึกว่าสะอาดขึ้นได้

ไม่ควรสวนล้างช่องคลอด
          ไม่ว่าจะด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็น เพราะจะทำให้สภาพแวดล้อมภายในช่องคลอดเปลี่ยนไป จนอาจเกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

ควรให้ฝ่ายชายสวมถุงยาง
          สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เพราะนอกจากจะสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้แล้ว ยังทำให้ "คุณน้อง" สะอาดไม่ต้องมีน้ำอสุจิ ตกค้างหมักหมมอยู่ภายในช่องคลอด รวมทั้งลดโอกาสการติดเชื้อรา ซึ่งอาจหลงอยู่ภายใต้ผิวหนังหุ้มปลายอวัยวะของฝ่ายชายที่ทำความสะอาดมาไม่ดี

หลังมีเพศสัมพันธ์
          การทำความสะอาดภายนอกก็เป็นการเพียงพอแล้ว และในกรณีที่ฝ่ายชายหลั่งน้ำอสุจิไว้ภายนอก ควรรีบไปชะล้างด้วยน้ำอุ่นทันทีหลังจากเสร็จภารกิจ เพื่อทำให้น้ำอสุจิที่เปรอะเปื้อนบริเวณขนอ่อน ๆ ได้รับการชำระล้างออกไปหมดจนไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง การใช้สบู่อ่อน ๆ หรือน้ำยาและโฟมทำความสะอาดก็สะดวกดี

เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆ
         ระหว่างมี ประจำเดือน อย่ารอจนผ้าอนามัยเปียกชุ่มแล้วจึงเปลี่ยน เพราะเลือดที่ตกค้างอยู่บนแผ่นอนามัยนั้น อาจทำให้ผิวหนังบริเวณปากช่องคลอดระคายเคือง และเป็นผื่นแพ้ได้ง่าย ควรทำความสะอาด "คุณน้อง" อย่างน้อยวันละสอง ครั้ง ในตอนเช้าและเย็น ส่วนผ้าอนามัยชนิดสอดเพื่อความสะดวกบางประการนั้น ควรเลือกใช้ชนิดที่สะอาดปลอดภัย ได้มาตรฐาน รวมทั้งไม่เก็บผ้าอนามัยไว้ในทีอับชื้น เช่น ตามซอกตู้ ใต้อ่างน้ำ หรือตามหลืบลิ้นชัก เพราะอาจขึ้นราได้ง่าย

หลังจากอาบน้ำ
          ทำความสะอาด "คุณน้อง" จนสะอาดแล้ว ควรซับด้วยผ้าเช็ดตัวแห้ง ๆ ที่เป็นผ้าฝ้าย 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ควรเช็ดถู อย่างรุนแรง และควรนำผ้าเช็ดตัวออกตากแดด ให้แห้งทุกวัน ไม่ควรตากไว้หน้าห้องน้ำเพราะจะอับชื้นและขึ้นราได้

กางเกงในหรือชุดชั้นใน
          ควรเป็นผ้าฝ้ายที่มีเนื้อผ้าบางเบาอากาศถ่ายเทสะดวก จะช่วยลดความอับชื้นของ "คุณน้อง" และควรซัก ตาก ให้แห้งก่อนนำมาใช้

          คราว นี้ "คุณน้อง" ของสาว ๆ คงดีใจ เพราะจะได้สดชื่น สดใสตลอดไปแล้ว


แนะนำ >> ผลิตภัณฑ์ คังเซ็น(คังเซน) ดิวินิค สบู่เหลวอนามัยเฉพาะจุดซ่อนเร้น
http://www.kangzenofcr.com/14845018/%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%A5-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B9%8C-%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%8A-200-%E0%B8%A1%E0%B8%A5-

เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

10 ศัลยกรรมเสริมสวย ที่คุณควรระวัง

Kangzen Of ChiangRAI 
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

10 ศัลยกรรมเสริมสวย ที่คุณควรระวัง
คุณผู้หญิงที่ยังไม่พอใจในรูปร่าง สัดส่วน หรืออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายแล้วอยากทำศัลยกรรมส่วนต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงส่วนที่ยังไม่ค่อยพอใจ เรามี 10 ศัลยกรรมเสริมสวยที่คุณควรระวังมาบอก

1. วิธีลดความอ้วนด้วยวิธีฉีดสาร Lipodissolve เพื่อ ละลายไขมันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งศัลยแพทย์และแพทย์ผิวหนังเห็นว่าควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด เพราะไม่มีการรับรองว่าได้ผลจริง อีกทั้งการทำ Lipodissolve นั้นยังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐฯ อีกด้วย

2. ศัลยกรรมเท้า ปัจจุบันผู้หญิงหันมาทำศัลยกรรมเท้า เพื่อปรับเปลี่ยนรูปร่างเท้าให้ดูสวยงามและเซ็กซี่มากยิ่งขึ้น แต่นายแพทย์เกลนน์ บี. เฟฟเฟอร์ ประธานสมาคมศัลยกรรมกระดูกเท้าและข้อเท้าแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า การทำศัลยกรรมเท้าใช้หลายวิธีร่วมกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อเท้าได้ ทั้งอักเสบ เซลล์ประสาทถูกทำลาย เท้าบวมเรื้อรัง และเจ็บขณะเดิน

3. การฉีดเสริมส่วนต่าง ๆ แบบถาวร ไม่ ว่าจะเป็นริมฝีปาก หรือปกปิดริ้วรอย โดยทั่วไป สารใช้ฉีดมักจะเป็นการฉีดแบบชั่วคราว เมื่อเวลาผ่านไปสารเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และสิ่งต่าง ๆ ที่ทำไว้ก็จะกลับคืนสภาพเดิม แต่ก็มีสารบางชนิดที่เป็นการฉีดแบบถาวร ซึ่งจะไปจับตัวกับเนื้อเยื่ออย่างถาวร และมีโอกาสที่จะจับผิดที่ผิดทาง แทนที่จะสวยกลับดูบิดเบี้ยวผิดธรรมชาติไป

4. การฉีดเสริมเต้านม โดย ปกติแล้วแพทย์จะนำไขมันจากส่วนอื่นของร่างกายมาฉีดเสริม ความจริงแล้วการฉีดไขมันเข้าไปยังเนื้อเยื่อบริเวณหน้าอกเป็นอันตรายอย่าง มาก เพราะไขมันที่ฉีดเข้าไปอาจแข็งตัวทำให้ตรวจหามะเร็งเต้านมได้ยากขึ้น

5. ต่อความยาวขา เป็นการผ่าตัดที่รู้จักกันดีในแถบเอเชีย แต่ความสุงเพิ่มขึ้นไม่มากอย่างที่คิด และแพงเกินคาด เฉลี่ยต่อครั้งประมาณ 4,200,000 บาท สรุปคือ สูงขึ้นนิดหน่อย เสียเงินเยอะ แถมเจ็บตัวอีกต่างหาก

6. ศัลยกรรมเสริมบั้นท้าย ทำโดยเสริมแผ่นซิลิโคนก้อนแข็ง ลงไปใต้เส้นใยกล้ามเนื้อสะโพก ทั้งนี้ การทำศัลยกรรมสะโพกนั้นมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากจะเย็บแผลให้อยู่ระหว่างบั้นท้ายทั้งสอง ซึ่งทำให้แผลนั้นอยู่ใกล้กับทวารหนัก แหล่งสะสมสารพัดเชื้อโรคค่ะ

7. สักหน้า ไม่ ว่าจะเป็น คิ้ว ขอบตา ขอบปาก ฯลฯ เมื่อเวลาผ่านไปหรือคุณเบื่อขึ้นมาจะทำยังไง!! จริงอยู่ที่ยุคนี้ลบรอยสักได้สบาย แต่ทราบมั้ยค่ะว่า พื้นที่ส่วนใหญ่บนใบหน้ามักเป็นเนื้อเยื่ออ่อน ซึ่งการใช้เลเซอร์ลบรอยนั้นทำได้ยาก และผลที่ได้นั้นอาจจะไม่ดีเท่าที่ควร

8. ศัลยกรรมใบหน้า ทั้งดูดไขมันที่แก้มเพราะหวังให้หน้าดูเล็กลง เซ็กซี่มากขึ้น แต่คุณอาจได้หน้าบุ๋ม เป็นหลุมเพราะไขมันถูกดูดออกไปเยอะเกินพอดีก็ได้ และต่อไปก็ดึงหน้า ที่มักจะมีปัญหาเรื่องแผลผ่าตัดซึ่งเห็นได้ชัดจนต้องวิ่งกลับไปแก้แล้วแก้ อีก

9. การผ่าตัดกระชับทรวงอก ด้วยวิธีการตัดผิวหนังส่วนเกินออก (mastopexy) เป็นการผ่าตัดที่มีโอกาสผิดพลาดได้มากที่สุด เพราะบางครั้งเมื่อทำการเสริมหน้าอกแล้วผิวหนังที่ลอกออกมากลับไม่เพียงพอ กับขนาดหน้าอกใหม่ ทำให้ต้องพยายามดึงผิวหนังที่เหลือมาเย็บปิด ปัญหาที่ตามมาหลังจากการผ่าตัดนี้ คือ การติดเชื้อ วัสดุที่ใช้เสริมหลุดออก หน้าอกไม่เท่ากัน หัวนมด้าน ไม่สามารถให้นมบุตรได้ และปัญหาการฟื้นตัวค่ะ

10. การเสริมสวยทุกอย่างที่ไม่ได้ทำโดยผู้เชี่ยวชาญ ไม่ ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำศัลยกรรมให้กับคุณได้ดี เพราะฉะนั้น ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแพทย์ให้ละเอียดก่อนที่จะตัดสินใจทำศัลยกรรม จะได้กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ 



เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ชะลอความแก่ แบบถนอมสุขภาพ

Kangzen Of ChiangRAI
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

ชะลอความแก่ แบบถนอมสุขภาพ
       การชะลอวัย (Anti-Aging) ไม่ได้หมายถึง การที่จะทำให้มีอายุยืนยาวขึ้น มนุษย์เราไม่สามารถจะ หลีกหนีอายุหรือตัวเลขที่มากขึ้นในทุกๆปี แต่การแพทย์สาขาเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging Medicine) นั้น หมายถึง การแพทย์ที่เข้ามามีส่วนช่วยในการป้องกันหรือชะลอความเสื่อมหรือ โรคที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมของร่างกาย เช่นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือโรคมะเร็งเป็นต้น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่เจ็บป่วย แทนที่จะต้องทุกข์ทรมานด้วย โรคดังกล่าว ถ้าดูแลตัวเองให้ดีเสียตั้งแต่เนิ่นๆ อาจสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณค่า มีความสุข

      ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากสามารถปฏิบัติเบื้องต้นที่สามารถทำได้ง่าย ๆ

         1. การรับประทานอาหาร รู้จักวิธีการเลือกและเลือกกิน ให้ถูกสัดส่วน เน้นโปรตีนธรรมชาติ จากเนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านการแปรรูปและเลี้ยงอย่างเป็นธรรมชาติไม่ใช้ฮอร์โมน ผักผลไม้สดที่ ปลอดสารฆ่าแมลง ไขมันที่มีประโยชน์ได้แก่ ไขมันที่ไม่อิ่มตัวจากน้ำมันปลา น้ำมันปอ น้ำมัน มะกอก ลดอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น ขนมขบเคี้ยว ขนมเค้ก น้ำหวาน น้ำอัดลม ที่ประกอบ ด้วย น้ำตาลที่รีไฟน์ซึ่งก็คือ น้ำตาลที่ผ่านกระบวนการในการย่อยให้โมเลกุลเล็กลง ซึ่งทำใหั ระดั้บน้ำตาลในเลือดขึ้นได้ง่าย เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน

         2. การออกกำลังกาย การออกกำลังกายที่เหมาะสมคือการออกกำลังกายแบบปานกลาง เน้น ชนิดแอโรบิค 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30 ถึง 45 นาที นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มการ เผาผลาญพลังงานให้มากขึ้น เช่น การเดินขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟต์ การจอดรถให้ไกลหน่อย แล้วเดินให้มากขึ้น แม้แต่กิจกรรมที่ทำที่บ้าน เช่นการทำความสะอาดบ้าน ทำสวน ก็สามารถ เพิ่มการเผาผลาญพลังงานเพื่อการควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสมได้

           3. การนอน วันละ 6-8 ชั่วโมง เริ่มนอนตั้งแต่ประมาณ 4 ถึง 5 ทุ่มเนื่องด้วยฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ที่ช่วยเรื่องการนอนจะเริ่มผลิตตอน 4 ถึง 5 ทุ่ม แล้วมีระดับสูงสุดช่วงตีสอง หลังจากเมลาโทนินขึ้นระดับสูงสุดจะมีการผลิต Growth hormone (โกร์ธ ฮอร์โมน) ขึ้นมา เพื่อช่วยซ่อมแซมร่างกายของคนเราและจะเกิดการผลิตฮอร์โมนอื่นๆตอนเช้า เช่นฮอร์โมน ธัยรอยด์ ขึ้นมาในระดับที่เหมาะสม ถ้านอนเลยตี 2 การผลิต ฮอร์โมนจะเสียสมดุลทันที จะไปนอนตอนกลางวันเพื่อทดแทนก็ไม่มีประโยชน์เพราะในช่วง กลางวันไม่มีสามารถผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินขึ้นมาได้

           4. ความเครียด เครียดมากร่างกายก็เสื่อมเร็ว เครียดตอนทำงานเมื่อมีปัญหามาถึงบ้านต้อง ปล่อยวาง แต่บางคนเอาไปเก็บคิดก่อนนอน มีผลระยะยาว ในระยะแรกของการตอบสนอง ต่อความเครียดจะมีการผลิตฮอร์โมนเครียด ถ้าเครียดมาก ฮอร์โมนระดับสูงเกินปกติจะมีผล ต่อการทำงานของฮอร์โมนชนิดอื่นทำให้ฮอร์โมนชนิดอื่นๆเช่นฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนธัยรอยด์ ฮอร์โมนเมลาโทนิน ทำงานได้ลดลง นอกจากนี้ฮอร์โมนเครียดที่มากกินไปอาจก่อให้เกิดการ ทำลายสมองส่วนความจำอีกด้วย แต่ถ้าเครียดไม่หายมีการเครียดต่อเนื่องระยะยาว ต่อมที่ ผลิตฮอร์โมนเครียดก็เสื่อมเร็วมีผลทำให้การผลิตฮอร์โมนทำได้ลดลง แทนที่จะสามารถต่อสู้ กับความเครียดได้กลายเป็นว่าไม่สามารถต่อสู้ความเครียดได้อีกต่อไป หมดพลังชีวิต เบื่อ หน่าย อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่นอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ หิวของหวานหรือของเค็ม ความ ดันโลหิตต่ำ ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับการอักเสบหรือติดเชื้อได้เป็นต้น

         สำหรับเรื่องเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เข้ามาช่วยชะลอความเสื่อมนั้น มีตั้งแต่การลดการ ทำาลายของอนุมูลอิสระต่อร่างกาย การปรับสมดุลของฮอร์โมนโดยใช้ฮอร์โมนที่มีลักษณะโครง สร้างทางเคมีเหมือนฮอร์โมนธรรมชาติ(Bioidentical hormone) และลงลึกถึงการตรวจสาร พันธุกรรมเพื่อดูแนวโน้มความเสี่ยงของโรคก่อนที่จะเกิดพร้อมหาวิธีป้องกัน โดยใช้หลักการที่ พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตามถ้าเริ่มดูแลตัวเองเสียแต่เนิ่นๆอาจชะลอให้ความเสื่อม เกิดขึ้นช้าลง สุขภาพดีไปกว่าครึ่งแล้ว แม้ขณะนี้เทคโนโลยีที่กล่าวมาทั้งหมด ยังไม่เสร็จสมบูรณ์เ ต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่มีอะไรที่เกินความพยายามของมนุษย์ และในปัจจุบันเริ่มมีการนำเอา วิทยาการเหล่านี้ออกมาใช้บ้างแล้ว

        แต่หากเราคิดแต่จะพึ่งพาวิทยาการเทคโนโลยีล้ำสมัยเพียงอย่างเดียว คงไม่สามารถช่วยยืด อายุเราออกไปอย่างผู้มีสุขภาพดีได้ เราจะต้องชะลอวัยด้วยตัวเองควบคู่กันไปด้วย โดยทำาได้ดังนี้

      1. ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ เป็นการเช็คร่างกายว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่
      2. การจำกัดแคลอรี่ โดยการทานอาหารอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอาหารต้านความชรานั้นมีอยู่ ในสารพฤกษเคมีซึ่งมีอยู่ในพืช ผักนานาชนิด ที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และเส้นใยซึ่งจะทำให้เ ราไม่อ้วน ไม่แก่เร็ว และไม่เกิดโรค
      3. การดำเนินชีวิตที่เหมาะสม เช่น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ลดพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้ ร่างกายทรุดโทรม อันเป็นการก่อสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสารอนุมูลอิสระเหล่านี้เป็นตัวการที่ ทำให้ร่างกายเสื่อมสภาพและสาเหตุของความชราเร็วกว่ากำหนด เช่น การนอนดึก ดื่มเครื่อง ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ เป็นต้น
      4. เรื่องของจิตใจ ต้องฝึกมองโลกในแง่ดี ทำจิตใจให้สงบ ไม่อารมณ์ฉุนเฉียว มีการศึกษาพบว่า หากเรามีความสุขจิตใจสงบ จะมีการหลั่งสารแห่งความสุขออกมา ทำให้ระบบในร่างกายจะ ทำงานเป็นอย่างปกติ ตรงกันข้ามกับคนที่มีความเครียดสูง หรืออารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ทำให้ใบ หน้ามีริ้วรอย และเจ็บป่วยทางร่างกายง่าย ๆ ยกตัวอย่างเช่น คนเป็นโรคกระเพาะเนื่องจากความเครียด ป่วยเป็นไมเกรนเพราะเครียดจัด เป็นต้น

          เราไม่อาจปฏิเสธความแก่ชราที่เข้ามาเยือนในทุกๆ วันได้ แต่เราสามารถชะลอมันออกไปได้ โดยเริ่มต้นจากตัวเราเอง ดุแลตัวเองซะตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป

แนะนำ >> คังเซน โปรจีน
http://www.kangzenofcr.com/14845008/%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%99-%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99-kangzen-progene

เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สวยหมดจด ดีท็อกซ์สุดสัปดาห์

Kangzen Of ChiangRAI 
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

สวยหมดจด ดีท็อกซ์สุดสัปดาห์
ผู้หญิงหลายคนคิดว่าการทำความสะอาดผิวในแต่ละวันเพียงพอแล้ว เมื่อถึงช่วงวันหยุดจึงมักที่จะใช้เวลาไปกับการนอนหรือกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งอันที่จริงแล้วการขาดการดูแลอย่างเข้มข้นในระหว่างสัปดาห์ เซลล์ผิวที่ตายแล้วผนวกกับมลภาวะ สารเคมี และสภาพอากาศแปรปรวน ทำให้ผิวเริ่มผลัดของเสียออก แต่ด้วยการทำความสะอาดที่ไม่ล้ำลึกพอ ทำให้ของเสียเกิดการสะสมและการอุดตัน ของฝุ่นควันมลภาวะ เมื่อปล่อยนานไป ผิวและเส้นผมก็จะค่อย ๆ เสื่อมสภาพ และเกิดปัญหา วันนี้เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ เกี่ยวกับวิธีการทำทรีตเมนต์ประจำทุกสัปดาห์ เพื่อดีท็อกซ์สารพิษที่สะสมให้หลุดออกจากผิวมาฝากกัน

ขจัดสิ่งตกค้างให้หมดจดด้วย "สครับ"

สำหรับวันหยุดสุดยุ่ง และมีเวลาไม่มากนัก ลองเลือกผลิตภัณฑ์มาส์กหน้าที่มีส่วนผสมของเม็ดสครับ (Scrub) ที่ใช้ง่าย สะดวก และยังช่วยขจัดสิ่งสกปรก ทั้งฝุ่น ควัน และสารพิษตกค้างได้เป็นอย่างดี โดยถูเนื้อมาส์กสครับเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณจมูกที่จะ มีสิ้วเสี้ยนซ่อนตัวอยู่ นวดประมาณ 3-5 นาทีแล้วล้างออก สิ่งสกปรกทั้งหลายรวมถึงสิวเสี้ยนก็สามารถหลุดออกได้โดยง่าย แถมยังสามารถเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อีกด้วย

"นวดหน้า" กระตุ้นระบบไหลเวียนผิว

หากมีเวลาว่างมากขึ้น ลองหันมาเพิ่มเวลาให้กับผิวด้วยการนวดหน้า จากผลวิจัยพบว่า การนวดหน้าจะช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นนอกให้หลุดร่วงไป เซลล์ผิว หนังใหม่แข็งแรงมาแทนที่ ช่วยนำสารอาหารที่เป็นประโยชน์ และออกซิเจนไปหล่อ เลี้ยงเซลล์ผิวให้แข็งแรงขึ้น โดยเลือกครีมนวดหน้าที่มีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติ นวดตามจุดต่าง ๆ ทั่วใบหน้า ตั้งแต่หน้าผาก ขมับ ไล่ลงมาที่แนวต่อคิ้ว บริเวณเปลือกตา หางตา ใต้ตา ซึ่งจะช่วยได้มากสำหรับคนที่ใต้ตาหมองคล้ำ จากนั้นนวดทั่วบริเวณใบหน้า จรดลำคอ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

เพิ่มความสวยเด้งด้วย "มาส์ก"

อีกทางเลือกสำหรับสาวรักผิวที่ไม่ควรพลาด ด้วยมาส์กที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโต และเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว และยังช่วยรักษาน้ำใต้ผิวให้คงความชุ่มชื้น สดใส แต่หากเป็นสาวที่ผิวค่อนข้างแห้งหรือหยาบกร้าน ควรเลือกมาส์กที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิดเนื้อเจลที่มีความอ่อนโยนต่อผิว ช่วยในการดูดซับสาร พิษตกค้างได้เป็นอย่างดี แถมยังทำให้ผิวหน้าแข็งแรง เนียนนุ่ม และชุ่มชื้น โดยนวดมาส์กตามจุดต่าง ๆ ทั่วบริเวณใบหน้า พอกทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาทีแล้วล้างออก

ดีท็อกซ์ผม ให้สวยครบเซต

สุดท้ายเมื่อผิวหน้าดูสวยสดใสแล้ว ก็อย่าลืมดูแลเส้นผม อีกส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมบุคลิกความมั่นใจ ให้กับสาวยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี ในสภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษ หากปล่อยปะละเลยไม่ดูแล ก็จะนำมาซึ่งสารพัดปัญหาผมที่จะคอยมารุมเร้าให้หนักใจ ทั้งแห้งเสีย แตก และขาดได้ง่าย ซึ่งวิธีป้องกันที่ง่ายที่สุด คือ การเลือกใช้แชมพู โดยเลือกที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ อ่อนโยนต่อเส้นผมและหนังศีรษะ และควรเลือกแชมพูที่มีประสิทธิภาพ ในการขจัดสารพิษตกค้างได้อย่างหมดจด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เส้นผมแข็งแรง และดูสุขภาพดีโดยตลอด

เคล็ดลับดี ๆ นี้ปฏิบัติในทุกสัปดาห์ ควบคู่กับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และหมั่น ออกกำลังกายเป็นประจำ เพียงเท่านี้คุณก็พร้อมที่จะเผยผิวสวยผมสุขภาพดีได้อย่างมั่นใจ

แนะนำ >> ปรึกษาความสวยงามเพิ่มเติม +668-6917-6222 เอ็ม

เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เลือกทานวิตามินให้สมวัย

Kangzen Of ChiangRAI
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

เลือกทานวิตามินให้สมวัย
สาวๆ หลายคนอาจเคยตั้งคำถามเกี่ยวกับการเลือกทานวิตามิน วิตามินใด ปริมาณแค่ไหน จึงจะเหมาสมกับความต้องการของร่างกาย โดยเฉพาะความต้องการของผู้หญิงที่มีความแตกต่างในแต่ละช่วงวัย กิจกรรมและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันก็มีส่วนสำคัญในการเลือกทานวิตามินที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

เพราะช่วงวัยที่แตกต่าง ร่างกายของผู้หญิงจึงต้องการสารอาหารที่แตกต่าง สารอาหารส่วนใหญ่ที่ร่างกายได้รับในแต่ละวันมาจากอาหารที่เลือกรับประทาน ซึ่งจะเพียงพอหรือ อาจเป็นสิ่งยากที่จะวัด เพราะขึ้นอยู่กับทางเลือกและความชอบส่วนตัว สาวๆ ส่วนใหญ่จึงเลือกทานวิตามินเสริม โดยยึดหลัก ‘เกินดีกว่าขาด’ ก่อนพิจารณาเลือกวิตามินที่เหมาะสมให้กับร่างกาย การรับทราบถึงความจำเป็นบวกกับกิจกรรมและไลฟ์สไตล์ในแต่ละช่วงวัย จึงเป็นข้อพิจารณาที่ดีต่อการเลือกทานวิตามินเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด  

สาวใสวัย 20
วิตามิน ซี – มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เพราะไม่ใช่แค่เพียงป้องกันการเกิดหวัด แต่ยังช่วยขจัดอนุมูลอิสระที่อาจก่อให้เกิดโรคหลายชนิด นอกจากนั้น วิตามิน ซี ยังมีส่วนสำคัญในการช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก และการทำงานของระบบประสาท และยังช่วยในการสร้างคอลลาเจน

เกรพซีด (Grape Seed) – เต็มไปด้วยวิตามินสำคัญๆ ทั้งวิตามิน เอ ซึ่งมีส่วนช่วยในการมองเห็น และมีบทบาทต่อการสร้างเซลล์ใหม่ วิตามิน ซี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างภูมิต้านทาน และบำรุงผิวพรรณ และวิตามิน อี ช่วยเสริมการทำงานของวิตามิน เอ และ ซี และปกป้องผิวจากรอยแผลและผิวอักเสบต่างๆ นอกจากนั้น สารสกัดจากเมล็ดองุ่นยังเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ

แคลเซียม – เมื่ออายุ 25 แคลเซียมในร่ายกายจะเริ่มเสื่อมลง การเสริมแคลเซียมจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้าม แคลเซียมยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ลิ่มเลือดจับตัวได้ดีขึ้น พร้อมกับช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อและการเต้นหัวใจ และถ้าจะให้ดี ควรทานแคลเซียมควบคู่กับวิตามิน เค ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น

สาววัยเลขสาม
วิตามิน บี รวม – เสริมความพร้อมของระบบประสาทและสมองสำหรับคนทำงานหนักด้วยวิตามิน บี รวม ทั้ง บี1 บี2 บี3 บี5 บี6 บี7 บี9 และบี12 เพื่อช่วยเสริมการทำงานของระบบสมองและประสาทส่วนกลาง การทำงานของหัวใจ สร้างเม็ดเลือดแดงและระบบภูมิคุ้มกัน

สารสกัดใบแปะก๊วย – เพิ่มประสิทธิภาพของสมองได้ด้วยสารสกัดจากใบแปะก๊วย ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมอง ป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมองจากการถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระ อีกทั้งปกป้องเซลล์ประสาทจากการขาดอ๊อกซิเจน และยังมีส่วนทำให้ผนังหลอดเลือดแดงยืดหยุ่นและแข็งแรง

สี่สิบยังสวยพริ้ง
อีฟเวนนิง พริมโรส ออย (Evening Primrose Oil) – เป็นกรดไขมันจำเป็นซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเซลล์ผิวหนัง ช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำของเซลล์ผิว ปรับสภาพผิวที่แห้งกร้านให้ ชุ่มชื่น ลดริ้วรอย นอกจากนั้น ยังช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนและอาการผิดปกติของช่วงหมดประจำเดือนได้ดีอีกด้วย

สง่าแบบสาวเลขห้า
ฟิช ออย (Fish Oil) – เป็นสารประกอบของกรดไขมันกลุ่มของโอเมก้า 3 ที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้  ซึ่งมี 2 ชนิด ได้แก่ EPA ที่ช่วยลดไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด และ DHA ซึ่งช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง ความจำ ตลอดจนระบบสายตา ฟิช ออยสามารถช่วยลดความดันโลหิต และทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น และยังบรรเทาอาการปวดข้อรูมาตอยด์และข้อเสื่อมอีกด้วย

ขอบคุณที่มา : http://www.pooyingnaka.com

แนะนำ >> คริลล์ ออยล์
http://www.kangzenofcr.com/14834955/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B9%8C-%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B9%8C-krill-oill

เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

นวดหน้ารับลมหนาว

Kangzen Of ChiangRAI 
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

นวดหน้ารับลมหนาว
ใกล้หน้าหนาวเข้ามาทุกที สาวๆ ต้องเตรียมดูเเลผิวเพื่อป้องกันความเเห้งกร้านที่จะมาเยือน ด้วยเคล็ดลับการนวดกระตุ้นให้ผิวเปล่งปลั่ง แลดูมีเลือดฝาด แก้มแดงเป็นสีชมพูน่าจุ๊บ

1 หลังบำรุงผิวในขั้นตอนสุดท้าย ให้ใช้ปลายนิ้วมือทั้งสองข้างกดที่บริเวณริมฝีปากเเล้วค่อยๆ เลื่อนไปที่บริเวณใต้เเก้มไปจนถึงกรอบหน้า สลับเลื่อนเข้าและเลื่อนออก 3 ครั้ง

2 ใช้ปลายนิ้วมือมือทั้ง 2 ข้างดันบริเวณกระพุ้งแก้มแล้วค่อยๆ ยกขึ้น ทำแบบนี้ 3 ครั้ง

3 ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางกดตรงปลายหางตา แล้วดึงออกด้านข้างอย่างเบามือ ทำสลับซ้ายขวา 3 ครั้ง

4 ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางกดที่บริเวณกึ่งกลางหน้าผาก เลื่อนปลายนิ้วเข้าออกแบบสลับฟันปลา ทำ 3 ครั้ง

5 ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างปิดแก้ม โดยให้ปลายนิ้วอยู่ที่บริเวณรอบดวงตาเเละฝ่ามืออยู่ที่เเก้มกดลงเบาๆ แช่ไว้สักครู่เพื่อถ่ายเทความอบอุ่นให้ผิว ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

แนะนำ >> ปรึกษาความสวยงามเพิ่มเติม +668-6917-6222 เอ็ม
ปล.ปริ้นรูปหรือเซฟรูปมา ลดราคา 50% สำหรับคอร์สทำหน้า ปรกติ 3คอร์ส 1400



เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สูตรผิวกายสวยสดใสต่างวัย 20-30-40-50

Kangzen Of ChiangRAI 
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

สูตรผิวกายสวยสดใสต่างวัย 20-30-40-50
อย่าปล่อยให้ใบหน้าสวยใสแต่ผิวกายหมองคล้ำหรือเหี่ยวย่นบอกอายุ! มาเริ่มต้นดูแลผิวพรรณกันให้ดีตั้งแต่วันนี้ แล้วไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ กฎของวัยก็ไม่อาจทำลายความสวยของคุณได้ง่าย ๆ หรอกนะจะบอกให้

20+
ในวัยนี้คุณยังไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงมากนักในเรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์แอนดี้เอจจิ้ง ทั้งหลายแหล่ ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้กระเป๋าฉีก แต่ยังไม่จำเป็นอีกด้วย เพียงแค่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับประเภทของผิว และเลือกแบบอ่อนโยนที่สุด เอาไว้ก่อน
การดูแลผิว : สิ่งหนึ่งซึ่งจะแนะนำเป็นพิเศษ สำหรับทุกวัยก็คือการขัดผิวเป็นประจำ เพราะคุณจำเป็นต้องกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วซึ่งสะสมตัวอยู่บนผิวชั้นบน และทำให้ผิวดูหมองคล้ำไม่สดใส และหากผิวของคุณปกคลุมไปด้วยชั้นของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และไม่ว่าคุณจะทาครีมหรือโลชั่นลงไปมากเท่าไหร่ มันก็จะคงอยู่แค่ที่ชั้นของเซลล์ผิว ซึ่งตายแล้ว และไม่สามารถแทรกซึมลงไปดูแลผิวได้ การขัดลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้วนี้ออกไป จึงเป็นเรื่องจำเป็น และวิธีที่ดีที่สุดก็คือการจัดการกับมันในขณะที่อาบน้ำ ลองใช้ถุงมือหยาบๆ หรือผ้าขนหนู ร่วมกับครีมอาบน้ำ เพื่อขัดลอกเซลล์ผิวเป็นประจำทุกวัน และสัปดาห์ละครั้งควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวกายโดยเฉพาะ อย่าลืมทาครีมบำรุงผิวตามทันที หลังจากเช็ดตัวแห้งแล้ว คุณจะเห็นความแตกต่างของผิวในทันทีเลยทีเดียว

การออกกำลัง : อย่าเพิ่งคิดว่าวัยจะทำให้คุณไม่ต้องออกกำลัง แต่การออกกำลังจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อกระชับได้รูป รวมทั้งยังเพิ่มการเผาผลาญที่ช่วยในการควบคุมน้ำหนักด้วย

อาหารผิว : การกินอาหารจำพวกผักและผลไม้ จะช่วยให้สารอาหารที่จำเป็นแก่ผิวพรรณ และยังดีต่อสุขภาพโดยรวมอีกด้วย

30+
ความชื้นจากภายในและภายนอกเริ่มกระตุ้นให้เกิดริ้วรอยแรก และยังส่งผลต่อการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย
การดูแลผิว : ข่าวร้ายก็คือ ช่วงอายุนี้จะเริ่มมีสัญญาณเริ่มต้นของริ้วรอย และอิลาสตินในผิวหนังก็เริ่มเสื่อมถอย จึงยากที่ผิวจะยังคงความสดใสไว้เหมือนวัยแรกแย้ม แต่ข่าวดีก็คือ ยังพอมีทางเป็นไปได้ที่เราจะชะลอการเกิดริ้วรอยได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เราหยุดเวลาของนาฬิกาชีวภาพไม่ได้ แต่ทำให้มันเดินช้าลงได้ผิวต้องเผชิญกับทั้งแสงแดด มลภาวะ ไหนจะความเครียด และบางคนยังสูบบุหรี่ที่มีกรดไลปิด ที่สำคัญคือมอยสเจอไรเซอร์ ไม่ว่าจะเป็นครีมหรือโลชั่น ที่คอยรักษาความชุ่มชื้นให้แก่ผิวอยู่ตลอดอย่าได้ขาดเพื่อให้ผิวดูมีน้ำมีนวล รวมทั้งวิตามินอีที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เซลล์ผิวที่หลุดลอกนั้น ทำให้สารบำรุงความชุ่มชื้นในผิวพร่องไป และเปิดโอกาสให้เซลล์ไขมันหรือเซลลูไลต์ที่สาว ๆ กลัวนักหนาเข้ามาแทนที่ จึงทำให้ผิวแตกลาย ผลิตภัณฑ์กระชับผิวและลดเซลลูไลต์ ที่มีสารสกัดจากกาเฟอีนหรือกรดผลไม้จะช่วยบำรุงได้

การออกกำลัง : อายุ 30 ร่างกายคุณยังฟิตและเล่นกีฬาได้ เมื่อกล้ามเนื้อได้ออกกำลังก็จะคงความกระชับและทำให้รูปร่างสมส่วน การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอจะช่วยตึงกระชับผิวและชะลอริ้วรอยได้ จึงควรเผาผลาญให้ได้อย่างน้อยที่สุด 1,500 กิโลแคลอรี ในแต่ละสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นจ็อกกิ้งหรือว่ายน้ำ รวมทั้งการฝึกโยคะ พิลาทีส ก็ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแก่ก่อนวัยได้

อาหารผิว : มีส่วนช่วยอย่างมาก เมื่อร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณที่สูง ก็จะมีส่วนช่วยให้ผิวพรรณดูสวยขึ้น โดยเฉพาะวิตามินซี คนที่กินผักและผลไม้สดมาก ๆ จะเหมือนร่างกายได้รับน้ำหล่อเลี้ยงถึง 2 ลิตร ทั้งนี้ คุณควรดื่มน้ำให้ได้รวมทั้งหมด ประมาณ 1.5-2 ลิตร เช่นกัน และความเครียดก็ส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อยได้เช่นกัน แต่สามารถแก้ได้ด้วยการดื่มน้ำแร่

40+
สกินแคร์ที่มีประสิทธิภาพ และการออกกำลังจะช่วยฟื้นฟูผิวที่แห้งและกล้ามเนื้อที่อ่อนล้าได้
การดูแลผิว : ผิวจะเริ่มสูญเสียอิลาสตินมากขึ้น เซลล์ผิวไม่จับตัวแน่นเหมือนเดิม และผิวก็จะแห้งกว่าเดิม ควรทำความเข้าใจกับส่วนผสมในครีมหรือโลชั่นด้วย โดยควรมีกรดไลปิดผสมเหมือนเดิม และเพิ่มการบำรุงด้วยการใช้ครีมบำรุงแผงคอ และหน้าอกเพื่อความกระชับ เพราะผิวที่บอบบางตรงส่วนนี้จะยิ่งเกิดริ้วรอยได้ง่าย เลือกสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากพืช ซึ่งช่วยปกป้องคอลลาเจนในผิว

การออกกำลัง : ถึงเวลาที่คุณต้องเริ่มออกกำลังกระชับกล้ามเนื้อ เพราะเมื่ออายุ 40 ไปแล้ว มวลกล้ามเนื้อจะเริ่มลดลงและไขมันจะเข้ามาแทนที่ จึงควรต้องออกกำลังกายเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งฝึกท่าบริหารกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อท้อง และสะโพกไม่ให้หย่อนคล้อย

อาหารผิว : แม้ว่าผู้หญิงบางคนจะยังไม่มีปัญหาเรื่องรูปร่างในช่วงอายุนี้ แต่จะสังเกตได้เลยว่าร่างกายเผาผลาญพลังงานไม่ได้มากเท่าเมื่อก่อน และน้ำหนักเริ่มขึ้นง่าย ควรเลือกกินอาหารที่มีโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ที่มีในปลาแซลมอน เพื่อให้ร่างกายย่อยสลายไขมันได้ดี ก็จะช่วยลดปัญหาผิวหย่อนคล้อยเพราะไขมันสะสม โดยเฉพาะหน้าท้องและสะโพกที่จะเกิดผิวแตกลาย ถ้าอยากได้ความหวาน ก็ให้ดื่มน้ำผลไม้สดแทน นอกจากนี้ ชาเขียวยังช่วยจัดการกับไขมันได้ดีเช่นกัน

50+
ปัญหาริ้วรอยย่นที่ผิวกายเริ่มมีมากขึ้น บรรเทาด้วยการดูแลเป็นพิเศษ การเคลื่อนไหวร่างกายและอาหารดี ๆ จะช่วยให้คุณสู้กับริ้วรอยแห่งวัยได้
การดูแลผิว : บิกินีหรือวันพีช? หลายคนคงต้องตั้งคำถามนี้เมื่อหน้าท้องไม่แบนราบอีกต่อไป รูปร่างก็เริ่มเปลี่ยน และแน่นอนว่าผิวไม่กระชับดังเดิม ครีมบำรุงผิวหน้าท้องที่ใช้จึงควรมีส่วนผสมของคอลลาเจนและอิลาสติน เพื่อให้ผิวตึงกระชับและหนาขึ้น ส่วนโลชั่นบำรุงผิวกายที่มี AHA จะช่วยฟื้นฟูและสร้างเซลล์ผิวใหม่ ใช้ครีมนวดกระชับผิวบริเวณต้นขา ส่วนผิวที่แผงอกควรเลือกครีมที่มีซิลิเซียม และสารสกัดจากไข่มุกที่ช่วยให้เซลล์ผิวหนาแน่น ช่วยลดรอยย่นรวมถึงจุดด่างดำ

การออกกำลัง : การออกกำลังกายยังทำได้ แต่อย่าหักโหมเกินไป เช่น เดินออกกำลังหรือจ็อกกิ้ง ช่วงนี้การออกกำลังกระชับต้นแขนจะช่วยให้ทั้งกล้ามเนื้อและผิวกระชับขึ้น

อาหารผิว : บำรุงกระดูกด้วยอาหารที่มีแคลเซียม ไม่ว่าจะเป็นนม ผลิตภัณฑ์จากนม โยเกิร์ต มันฝรั่ง บร็อกโคลี่ ส่วนอาหารต้านริ้วรอยนั้น แท็กทีมกันมาทั้งผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอและซีสูง ซึ่งเสริมสร้างแคโรทีนอยด์ที่ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากอนุมูลอิสระ และยังขัดขวางการก่อ



แนะนำ >> ปรึกษาความสวยงามเพิ่มเติม +668-6917-6222 เอ็ม

เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อาหารบำรุงกระดูก

Kangzen Of ChiangRAI
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

อาหารบำรุงกระดูก
     กระดูกเป็นโครงสร้างของร่างกายทำหน้าที่พยุงร่างกาย ให้ทรงตัวอยู่ได้และเป็นที่เกาะของกล้ามเนื้อ กระดูกเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะประกอบด้วย น้ำประมาณร้อยละ 20 สารอินทรีย์ร้อยละ 30-40 ที่สำคัญคือ โปรตีน ที่เหลืออีกร้อยละ 40-50 เป็นแร่ธาตุต่างๆ แร่ธาตุที่สำคัญที่เป็นองค์ประกอบของกระดูก คือ แคลเซียมฟอสฟอรัส แมกนีเซียม แมงกานีส

          ดังนั้นการกินอาหารบำรุงกระดูกจะต้องกินอาหารที่มีแร่ธาตุอย่างสมดุลกัน การกินอย่างใด อย่างหนึ่งมากเกินไปก็จะเกิดผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน มาดูกันค่ะว่าสารอาหารอะไรที่สำคัญต่อกระดูกและอยู่ในอาหารประเภทไหนกันบ้าง

      แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง พบใน นมสด ปลาป่น กุ้งแห้ง งาดำ ปลาซาร์ดีนกระป๋อง ผักใบเขียว ฟอสฟอรัส ทำให้กระดูกแข็งแรง พบใน เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดฟักทอง
      แมกนีเซียม ช่วยให้กระดูกดึงแคลเซียมเข้ามาเก็บสะสมไว้ พบในผักใบเขียว รำข้าว ถั่วเมล็ดแห้ง
      Lysine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟื้นฟู พบใน ยีสต์ ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง แป้งถั่วเหลือง นมไขมันต่ำ และปลา.
      โบรอน เป็นแร่ธาตุที่ช่วยไม่ให้กระดูกเสียแคลเซียมมากเกินไป พบในผักผลไม้ และถั่วเปลือกแข็ง
      แมงกานีส เป็นองค์ประกอบของกระดูกช่วยไม่ให้กระดูกเสียแคลเซียมมากเกินไป พบในน้ำผลไม้อย่างน้ำสับปะรด
      วิตามินดี ช่วยให้กระดูกดึงแคลเซียมเข้ามาเก็บสะสมไว้ พบในน้ำมันตับปลา ปกติแสงแดดหรือรังสีอัลตราไวโอเลตจะช่วยให้ ผิวหนังสร้างวิตามินดีขึ้นได้

พฤติกรรมการกินอาหารบางอย่างสามารถส่งผลเสียต่อกระดูกได้ เช่น

      กาแฟ จากงานวิจัยจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริการะบุว่า กาแฟแค่ 2 ถ้วย ก็มากพอที่จะทำให้กระดูกเปราะบางได้ เนื่องจากคาเฟอีนในกาแฟจะทำให้ร่างกาย ขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ
      น้ำอัดลม ทำให้เกิดภาวะกระดูกหักง่าย โดยผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำจะมีโอกาสเกิดกระดูกพรุนมากกว่า ผู้ที่ไม่ดื่ม 3-4 เท่า

        สำหรับผู้หญิงที่อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ความหนาแน่นของกระดูกนอกจากจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเริ่มลดลงด้วยหากช่วงก่อนหน้านี้ไม่ได้บำรุงกระดูกให้แข็งแรงเต็มที่ ก็อาจทำให้กระดูกเปราะบางและแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะกระดูกบริเวณสะโพกซึ่งจะเจ็บปวด และทรมานมาก ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน กระดูกจะบางลงราวๆ 2 เปอร์เซ็นต์ทุก 1 ปี ในขณะที่การกินแคลเซียมเมื่ออายุมากขึ้น ไม่ได้ช่วยความเพิ่มความหนาแน่นให้กับกระดูกแต่อย่างใด เพียงแต่ช่วยชะลอการสูญเสียปริมาตรของกระดูกลง



แนะนำ >> เค เค ไวต้าไลซ์ พลัส และ คังเซน มัลติ นิวเทรียนท์ พลัส
http://www.kangzenofcr.com/14834967/โปรจีน-progene
http://www.kangzenofcr.com/14830684/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B9%8C-%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%AA-multi-nutrients-plus

เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

รู้จักวิธีกิน...เพื่อหน้าเด้ง

Kangzen Of ChiangRAI
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

รู้จักวิธีกิน...เพื่อหน้าเด้ง
คอลลาเจนเป็นโครงสร้างหลัก และเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่อยู่ชั้นล่างสุดของผิวหนังคนเรา มันจึงจำเป็นต้องเก็บรักษาความอ่อนนุ่มชุ่มชื่นของผิวไว้ทั้งหมด มันจึงเปรียบเสมือนฟูกหรือเบาะนุ่ม ๆ ในขณะที่คุณอายุน้อยเบาะนี้จะเป็นตัวสร้างความยืดหยุ่น แต่เมื่อไหร่ที่คุณอายุมากมันจะเริ่มหย่อนลงเล็กน้อย
   
             และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากเรื่องของอายุและปริมาณของคอ ลลาเจนที่มีอยู่ในผิวหนัง เกิดการสลายตัว ขณะเดียวกันก็ถูกให้หนาแน่นขึ้นเช่นกัน
   
             ในวัยหนุ่มสาวสุขภาพผิวของคนเราจะมีเส้นใยคอลลาเจนลอยเป็นจำนวนมาก ซึ่งเส้นใยเหล่านี้จะเป็นตัวที่คอยดึงความยืดหยุ่นของผิวให้กลับมาสู่จุด เดิม  หลังจากการที่เรายิ้มหรือหน้าบึ้ง  แต่เมื่อไรที่คอลลาเจนเริ่มเสื่อมสลาย ผิวหนังของเราก็จะสูญเสียความยืดหยุ่น และไม่สามารถเด้งกลับมาสู่จุดเดิมได้ จึงเป็นที่มาของรอยเหี่ยวย่นนั่นเอง
   
             ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ มาจากความจริงที่ว่า เมื่อ เราอายุ 25 ปีขึ้นไป เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายจะเริ่มผลิตคอลลาเจนลดน้อยลง โดยปกติแล้วการลดลงของเบาะหรือฟูก นิ่มนี้ จะทำให้เกิดร่องในชั้นผิว และเมื่อชั้นผิวเกิดร่องมันก็จะไม่กักเก็บความชุ่มชื้นของผิวเอาไว้ และไม่สามารถส่งต่อความชุ่มชื้นไปสู่ผิวชั้นบนสุดได้ หรือที่มักเข้าใจได้ดีว่าผิวเกิดรอยเหี่ยวย่นนั่นเอง
   
             ขณะเดียวกัน ครีมทาหน้าต่าง ๆ ก็มีการผลิตขึ้นมาเพื่อให้สามารถป้องกันในเรื่องของอายุ เช่นกัน โดยมีใบฉลากที่อ้างว่าได้บรรจุส่วนผสมที่มหัศจรรย์ โดยอวดอ้างและยืนยันว่ามีโมเลกุลของคอลลาเจนจำนวนมากผสมอยู่ด้วย และจะแทรกซึมเข้าไปสู่ผิวหนังได้ดี แต่ทำไมครีมตัวใหม่จากลอรีอัลจึงไม่ถูกต่อต้าน
   
             เรียกได้ว่าเป็นความพยามที่ต้องการให้คอลลาเจนสามารถเข้าสู่ผิวหนังได้โดย วิธีภายนอก พวกเขาอ้างว่าสามารถนำคอลลาเจนมาผลิตเป็นเซลล์ ที่ช่วยทำให้เกิดความอ่อน เยาว์กลับมาสู่ผิวหนังได้ แต่จะมีราคาค่อนข้างแพงมากสำหรับวัตถุชนิดนี้
   
             ครีมที่เปิดตัวภายใต้แบรนด์ "วิกชี่" เจ้าของผลิตภัณฑ์เดียวกับลอรีอัล ได้กำหนดราคาครีมชนิดนี้ไว้ที่ 27 ยูโร ซึ่งราคานี้ยังไม่สามารถซื้อได้จนกว่าจะถึงเดือนเมษายน แต่ยังมีหนทางอื่นที่คุณสามารถเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิวของคุณได้ โดยไม่ต้อง พึ่งพาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีราคาแพง และวิธีนั้นก็คือการกินอาหารนั่นเอง
   
             แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง รวมถึงนักโภชนาการได้ออกมาระบุว่า อาหารที่คุณชอบรับประทานมากที่สุดนั้น ช่วยทำให้ผิวของคุณสามารถเก็บกักคอลลาเจนจำนวนมากไว้ได้ วางทุกอย่างไว้ด้วยกัน และผลลัพธ์ที่ได้คือ การมีใบหน้ายกกระชับจากอาหารที่รับประทาน..เรามาดูกัน

เต้าหู้และถั่วเหลือง

             วัยหมดประจำเดือนเป็นวัยที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดน้อยลง ซึ่งฮอร์โมน ชนิดนี้จะมีส่วนทำให้ระดับคอลลาเจนในผิวลดลงเช่นกัน จากการวิจัยชี้ให้เห็น ว่าคอลลาเจนประเภทใดประเภทหนึ่ง จะลดลงร้อยละ 30 หลังจากช่วง 5 ปีแรกของการหมดประจำเดือน

             แต่จากการวิจัยยังค้นพบว่า ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนนั้น มีระยะการเก็บกักระดับคอลลาเจนในผิวได้มากที่สุด โดยคิดเป็น 6 เท่า หรือร้อยละ 6 ภายในระยะเวลา 6 เดือน

             ในถั่วเหลืองนั้นมีสารที่เรียกว่า "Phytoestrogens" (สารเคมีที่พบได้ตาม ธรรมชาติ โดยเฉพาะพืชตระกูลถั่ว) ซึ่งสารตัวนี้สามารถช่วยทดแทนฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีอยู่ในร่างกายได้ และถ้าคุณอยู่ในวัยสูงอายุ ผลิตภัณฑ์นมถั่ว เหลืองที่คุณดื่มอยู่เป็นประจำ จะช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื่นและคอลลาเจนในผิวไว้ได้


ปลาแซลมอน

             ปลาแซลมอนและน้ำมันปลาอื่น ๆ เช่น ปลาแมคคอเรล ปลาแฮร์ริ่ง และปลาซาร์ดีน มักได้รับการประกาศให้รู้ว่า  มีสารอาหารที่จำเป็นต่อผิวหนัง เพราะในปลาเหล่านี้จะมีระดับโอเมก้า  3 หรือกรดไขมันอิ่มตัว ที่ช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื่นให้แก่ผิวได้

             อย่างไรก็ตาม ในประเทศสหรัฐอเมริกา ดร.นิโคลราส เพอร์ริโคน ยังได้สนับสนุนเกี่ยวกับน้ำมันในปลาเหล่านี้ว่า สามารถช่วยลดการอักเสบที่เกิดขึ้นในผิวหนังให้ลดลงได้ และเขาเชื่อว่าการอักเสบของผิวหนังนั้น ไม่สามารถมองเห็นได้ เพราะว่ามันเกิดขึ้นอยู่ใต้ผิวหนังนั่นเอง ดังนั้น ระดับความไวของคอลลาเจน ที่เกิดจากย่อยโดยการรับประทานปลาแซลมอน จะช่วยป้องกันอาการอักเสบ รวมทั้งช่วยเป็นบล็อกป้องกันคอลลาเจนไว้ที่ผิวได้

ไก่งวง
             ไก่งวงนั้นเรียกได้ว่าเป็นแหล่งของโปรตีนเลยก็ว่าได้ เพราะโปรตีนชนิดนี้จะ เป็นตัวระบบป้องกันคอลลาเจนในผิวเอาไว้ ซึ่งโปรตีนชนิดนี้จะถูกบรรจุให้อยู่ในรูปของโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า "Carnosine" (เป็นยาต้านการเสื่อมสภาพของผิว ซึ่งจะพบได้ในกล้ามเนื้อ)

             สาร Caarnosine นี้ สามารถช่วยชะลอกระบวนการเกิด เส้นใยคอลลาเจนสลายตัวนั่นเอง ขณะเดียวกันหากคุณรับประทานไก่งวง จะช่วยทำให้คุณเก็บรักษาคอลลาเจนไว้ในผิวของคุณได้ โดยที่ผิวของคุณจะอ่อนนุ่มชุ่มชื่น และผลลัพธ์ที่ตามมาคือผิวหนังของคุณจะได้มากกว่าความหยืดหยุ่น

ผักขม
            ผักสีเขียวที่มีใบอยู่เป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับผักขมนั้น มีอยู่ด้วยกัน หลายชนิดไม่ว่าจะเป็น ผักกะหล่ำปลี ผักแพงพวย ผักคะน้า ซึ่งผักเหล่านี้จะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่เรียกกันว่าสารลูทีน (สารที่เหลืองที่พบได้ในเมล็ดพืช หรือไข่แดง) และสารต้านอนุมูลอิสระนั้น มีความสำคัญมาก ถ้าหากคุณต้องการเก็บกักคอลลาเจนเอาไว้ในผิว เพราะคนทั่วไปมักคิดว่าสารชนิดนี้สามารถช่วยล้างพิษจากสารเคมี

             สารต้านอนุมูลอิสระเป็นสารระเหย และเป็นสารเคมีที่สร้างขึ้นจากร่างกาย ซึ่งการระเหยนั้นจะได้รับปัจจัยจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นแสงแดดหรือมลพิษดังนั้นระบบการป้องกันที่มีอยู่ในตัวคุณนั้น เปรียบได้กับการที่คุณสามารถรักษาระดับคอลลาเจนในร่างกายไว้ได้อย่างยาวนาน

บลูเบอร์รี่
             วิตามินซีเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างคอลลาเจน  เช่นเดียวกับผลเบอร์รี่ และผลบลูเบอร์รี่  รวมถึงสตรอเบอร์รี่ ซึ่งผลไม้เหล่านี้จะอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นส่วน ประกอบสำคัญในการผลิตคอลลาเจน และเป็นตัวช่วยเสริมอาหารได้ ในกรณีของผู้ที่ขาดวิตามินซีอย่างรุนแรงนั้น จะทำให้เขาเป็นผู้ที่มีพัฒนาการที่ช้า เพราะการขาดวิตามินซี จะส่งผลต่อเนื้อเยื่อและฟัน รวมถึงกระดูกอ่อนและเส้นเอ็นให้อ่อนแอลง

             ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เช่น การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าร่างกายของคุณมีสิ่งหนึ่งที่จำเป็นมากในการช่วยสร้าง ระบบป้องกัน รวมทั้งมีส่วนช่วยในการผลิตคอลลาเจน นอกจากนี้มันยังจะช่วยหนุน ร่างกายของคุณให้มีระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่เหมาะสมอีกด้วย เมื่อคุณเริ่มมีอายุมากขึ้นควรหลีกเหลี่ยงอาหารหวานหรืออาหารประเภทแป้ง เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะเกิดการแตกตัวอยู่ในรูปของน้ำตาลที่เป็นศัตรูกัน (ถูกต้องที่สุด น้ำตาลธรรมชาติถูกบรรจุอยู่ในผักใบเขียวรวมถึงผลเบอร์รี่ แต่หากคุณรับประทานสิ่งเหล่านี้มากจนเกิน จะทำให้ประเสียประโยชน์มากกว่าได้รับประโยชน์)

แนะนำ >> คังเซนเคนโก โปรจีน
http://www.kangzenofcr.com/14834967/%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99-progene

เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

อันตราย...จากอุจจาระตกค้าง

Kangzen Of ChiangRAI
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

อันตราย...จากอุจจาระตกค้าง
ทราบหรือไม่ว่า...

หากเราเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด กินอาหารที่มีกากใยน้อย มีพยาธิหรือ เชื้อรา ระบบดูดซึมเสียไม่ถ่ายอุจจาระตอนเช้าระหว่างเวลา 05.00-07.00 น. ลำไส้จะบีบให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน เวลาถ่ายจะถ่ายไม่หมด อุจจาระที่ค้างก็จะเกาะผนังลำไส้ พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่าก็จะแซงหน้าไปก่อน แต่ก็ไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ค้างแข็งไว้นี่ เมื่อเกาะติดแน่นไปเรื่อยๆ อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่างๆ ในกระเพาะและกดทับกระดูกบริเวณหลัง ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ ตามมา เช่นท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไมเกรน เป็นต้น

นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวช ศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ว่า เราสามารถตรวจสัญญาณอุจจาระค้างในลำไส้ได้เองง่ายๆ โดยการนอนหงายแล้วเอามือคลำท้องด้านซ้ายล่าง เลยสะดือทางซ้ายไปหน่อย แล้วเอานิ้วทั้ง 5 ลองกดดูจนลึกและเลื่อนไปมา หากมีค้างอยู่จะคลำได้เป็นแท่งยาวๆ อยู่ตามรูปลักษณ์ของลำไส้ (สำหรับคนผอมอาจคลำง่ายหน่อย แต่สำหรับคนมีพุง แนะนำให้แขม่วพุงช่วยแล้วค่อยคลำจะได้ผลชัดขึ้น)

• กลุ่มคนที่มักมีปัญหาอุจจาระค้าง
1. เด็กเล็กที่ให้กินนมแล้วนอนเลย ไม่พาอุ้มพาดบ่าลูบหลัง หรือไม่พาขยับตัวกลิ้งไปมาสักเล็กน้อยให้ลำไส้ได้บีบตัวบ้าง  ในเด็กที่อุจจาระแข็งมาก อาจสามารถบาดรูทวารจนเกิดแผลได้ ทำให้ครั้งต่อไปเด็กไม่อยากถ่ายอีกเพราะกลัวเจ็บ เมื่อยิ่งกลั้น อุจจาระก็จะยิ่งแข็งค้างไปเรื่อยๆ
2. คนที่ผ่าตัดบ่อย จะมีพังผืดไปรัดลำไส้ข้างใน ทำให้บีบตัวได้ไม่ดี อาจมีอุจจาระค้างอยู่ตามซอกต่างๆ จนบางคนกลายเป็นลำไส้อุดตันไปเลยก็มี
3. ผู้สูงอายุและคนไข้นอนโรงพยาบาล เนื่องจากไม่ค่อยได้ขยับตัวลุกเดิน
4. คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายหรือมีเหตุให้ต้องกลั้นอุจจาระบ่อยๆ โดยเฉพาะคนทำงานออฟฟิศที่วันๆ นั่งแหมะอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์
5. คนที่มีลำไส้ยาว เพราะยิ่งยาวยิ่งสามารถเก็บอุจจาระไว้ได้นาน สังเกตว่าบางคนกินผักเยอะแต่ถ่ายแค่สัปดาห์ละครั้งสองครั้งเท่านั้น


เคล็ดลับ
• อย่าอั้นอุจจาระตอนเช้า เพราะถ้าเลยช่วงเช้าไปแล้ว กว่าร่างกายจะส่งสัญญาณให้ปวดอีกอาจจะนานจนผิดเวลา
• รอจังหวะขณะอุจจาระ ถ้าไม่ปวดอย่าแบ่ง ให้ลองสังเกตว่าจะมีการปวดเป็นช่วงๆ และก็คลายก่อนที่จะกลับมาปวดใหม่ นั่นเป็นเพราะลำไส้บีบตัวเป็นลูกคลื่นเหมือนงูเลื้อย ถ้าเลื้อยมาตรงที่มีอุจจาระพอดีก็จะปวดขึ้นมา ดังนั้นหากเบ่งตอนไม่ปวดจะเหมือนเป็นการแกล้งลำไส้ให้เกิดแรงดันขึ้นมาโดย ใช่เหตุ เป็นผลให้ลำไส้เกิดโป่งพองขึ้นมา ได้ริดสีดวงทวารเป็นของแถม
• นวดลำไส้ ถ้าในเด็กให้นวดรอบสะดือ ในผู้ใหญ่ให้นวดตรงท้อง ด้านล่างซ้ายเลยสะดือไป นวดเบาๆ ไปมาแล้วทิ้งไว้สักพักจะรู้สึกปวดท้องอยากถ่าย
• เอามือกดท้องด้านล่างซ้ายขณะถ่าย หรือจะลุกขึ้นนั่ง ยองเอาหน้าขาเป็นตัวกดไล่อุจจาระออกมา เพราะที่จริงแล้ว การถ่ายตามธรรมชาติของคนคือ ‘นั่งยอง' เพราะจะได้มีแรงกดจากหน้าขาด้วย การนำการนั่งถ่ายแบบโถเข้ามา ทำให้เราเป็นทั้งริดสีดวงและท้องผูกมากขึ้น
• ลุกขึ้นเดินไปมาจะทำให้ลำไส้บีบตัวได้ดี สักพักลำไส้จะบีบรีดเอา ‘อุจจาระท้ายขบวน' ที่เหมือออกมาแล้วเราจะรู้สึกปวดอุจจาระอีกที ไม่ว่าใครก็ตาม หากมีความถี่ในการถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ถือว่า ‘ท้องผูก' นะคะ

แนะนำ >> ออร์แกนิค นูทริชั่น แอนด์ รีจูวีแลค
http://www.kangzenofcr.com/14827974/%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84-organic

เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557

มะเร็งปากมดลูก โรคร้ายที่ผู้หญิงต้องรู้จัก

Kangzen Of ChiangRAI 
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

มะเร็งปากมดลูก โรคร้ายที่ผู้หญิงต้องรู้จัก
การมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย 
การมีคู่นอนหลายคน 

การตั้งครรภ์หรือมีลูกหลายคน

มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเชื้อไวรัสหูดหงอนไก่ (Human Papilloma Virus (HPV)

การรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ๆ
มีคู่นอนที่เข้าข่ายเหล่านี้ คือ ผู้ชายที่มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย ผู้ชายที่เป็นมะเร็งองคชาติ ผู้ชายที่เคยมีภรรยาเป็นมะเร็งปากมดลูก ผู้ชายที่มีคู่นอนหลายคน
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น การสูบบุหรี่ มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ จากพันธุกรรม และการขาดสารอาหารบางชนิด

มีอาการแบบไหนถึงควรรีบไปตรวจ?
มะเร็ง ปากมดลูกมักพบในสตรีอายุ 45-55 ปี แต่ตอนนี้มักตรวจพบมะเร็งปากมดลูกก่อนวัยอันควร และปัจจุบันก็พบในอายุน้อยลง โดยเซลล์ปากมดลูกผิดปกติมักพบในวัยเจริญพันธุ์ มะเร็งปากมดลูกมักไม่มีอาการแสดงที่ชัดเจน จึงเป็นสาเหตุให้การวินิจฉัยกระทำได้ช้า และมักตรวจพบเมื่อเข้าสู่ระยะลุกลามแล้ว ที่สำคัญผู้หญิงส่วนมากมักปฏิเสธการตรวจภายใน เพราะอายและกลัว และมักจะไม่มีอาการ จึงละเลยการตรวจร่างกาย

อาการเตือนอาจมีได้ดังนี้
1. ตกขาวสีเหลือง มีกลิ่น ปนเลือด
2. เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด (อาจพบหลังมีเพศสัมพันธ์)
3. ปวดท้องน้อย (พบในกรณีมะเร็งลุกลามเนื้อเยื้อในช่องเชิงกราน)
4. ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะเป็นเลือด (พบในกรณีมีการลุกลามไปกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย)
5. เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
6. ขาบวม (มะเร็งลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง)

การรักษา
หากรู้แต่เนิ่น ๆ ในขั้นที่ 1-2 สามารถใช้การจี้ด้วยไฟฟ้าหรือตัดชิ้นเนื้อนั้นออกไป แต่ในขั้นที่ 3 นั้นก็ต้องตัดมดลูกทิ้ง เพื่อไม่ให้ลามไปอวัยวะอื่น ๆ ไม่ต้องทำคีโมหรือฉายแสงใด ๆ ในขั้นที่ 4 นั้น ต้องตัดมดลูกทิ้งเช่นกัน แล้วต้องฉายแสงหรือทำคีโมเพื่อให้มะเร็งหยุดลุกลาม

การป้องกัน
เวลามีเพศสัมพันธ์ก็ควรใช้ถุงยางอนามัย

ไปตรวจภายในทุกปี

สาวที่มีเซ็กส์ครั้งแรกก็ควรจะตรวจได้แล้วไม่ว่าอายุเท่าไหร่ แต่ถ้าสาวโสดควรตรวจเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปนะ

ตอนนี้มีวัคซีนป้องกันแล้ว แต่จะให้ได้ผลดีควรฉีดก่อนที่จะมีเซ็กส์ครั้งแรก ทั้งนี้ สามารถสอบถามเรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ตามโรงพยาบาลชั้นนำ

แนะนำ >> ดิวินิค เลดี้ เจล มายด์ วอช (200 มล.)
http://www.kangzenofcr.com/14845018/ดิวินิค-เลดี้-เจล-มายด์-วอช-200-มล-

เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557

9 วิธี ดูแลผู้สูงอายุสุขภาพดี

Kangzen Of ChiangRAI 
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

9 วิธี ดูแลผู้สูงอายุสุขภาพดี
การป้องกันดูจะเป็นยาขนานเอกที่ได้ผลเกินคลาด วันนี้เรามีวิธีดูแสุขภาพผู้สูงอายุมาฝาก

1. เลือกอาหาร โดยวัยนี้ร่างกายมีการใช้พลังงานน้อยลงจากกิจกรรมที่ลดลง จึงควรลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน ให้เน้นอาหารโปรตีนจากเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะปลา และเพิ่มแร่ธาตุที่ผู้สูงอายุมักขาด ได้แก่ แคลเซียม สังกะสี และเหล็ก ซึ่งมีอยู่ในนมถั่วเหลือง ผัก ผลไม้ ธัญพืชต่าง ๆ และควรกินอาหารประเภทต้ม นึ่ง ย่าง อบ แทนประเภทผัด ๆ ทอด ๆ จะช่วยลดปริมาณไขมันในอาหารได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวานจัด เค็มจัด และดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน

2. ออกกำลังกาย หากไม่มีโรคประจำตัว แนะนำให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิคสัก 30 นาทีต่อครั้ง ทำให้ได้สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง จะเกิดประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือดอย่างมาก โดยขั้นตอนการออกกำลังกายจะต้องค่อย ๆ เริ่ม มีการยืดเส้นยืดสายก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มความหนักขึ้น จนถึงระดับที่ต้องการ ทำอย่างต่อเนื่องจนถึงระยะเวลาที่ต้องการ จากนั้นค่อย ๆ ลดลงช้า ๆ และค่อย ๆ หยุดเพื่อให้ร่างกายและหัวใจได้ปรับตัว

3. สัมผัสอากาศที่บริสุทธิ์ จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคได้ อาจเป็นสวนสาธารณะใกล้ ๆ สถานที่ท่องเที่ยว หรือการปรับภูมิทัศน์ภายในบ้านให้ปลอดโปร่ง สะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก มีการปลูกต้นไม้ จัดเก็บสิ่งปฏิกูลให้เหมาะสม เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค และสามารถช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดได้

4. หลีกเลี่ยงอบายมุข ได้แก่ บุหรี่และสุรา จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหรือลดความรุนแรงของโรคได้ ทั้งลดค่าใช้จ่ายในการรักษา และยังช่วยป้องกันปัญหาอุบัติเหตุ อาชญากรรมต่าง ๆ อันเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมในขณะนี้

5. ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ โดยเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลและโรคที่เป็นอยู่ส่งเสริมสุขภาพให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง ปรับสภาพแวดล้อมในบ้านให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือการหกล้ม

6. ควบคุมน้ำหนักตัวหรือลดความอ้วน โดยควบคุมอาหารและออกกำลังกายจะช่วยทำให้เกิดความคล่องตัว ลดปัญหาการหกล้ม และความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม และโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น

วิธีประเมินว่าน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์อ้วนหรือไม่ โดยคำนวณจากดัชนีมวลกายหรือเรียกสั้น ๆ ว่า "BMI (bodymass index)" ถ้าน้ำหนักตัวเกิน ค่า BMI จะอยู่ระหว่าง 23-24.9 กิโลกรัม/เมตร (ยกกำลัง 2) แต่ถ้าอ้วนละก็ค่า BMI จะตั้งแต่ 25 กิโลกรัม/เมตร (ยกกำลัง 2) ขึ้นไป

สูตรดัชนีมวลกาย (BMI)= น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ส่วนสูง (เมตรยกกำลัง 2)

ตัวอย่าง ผู้สูงอายุ หนัก 67 กิโลกรัม สูง 160 เซนติเมตร

ดัชนีมวลกาย (BMI)= 67 (1.6 ยกกำลัง 2)

= 26.17 ถือว่าเข้าข่ายอ้วน

7. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม เช่น การซื้อยากินเอง การใช้ยาเดิมที่เก็บไว้มาใช้รักษาอาการที่เกิดใหม่ หรือรับยาจากผู้อื่นมาใช้ เนื่องจากวัยนี้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตในการกำจัดยาลดลง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดพิษจากยาหรือผลข้างเคียงอาจมีแนวโน้มรุนแรง และเกิดภาวะแทรกซ้อนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ฉะนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาจะดีที่สุด

8. หมั่นสังเกตอาการผิดปกติต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น คลำได้ก้อน โดยเฉพาะก้อนโตเร็ว แผลเรื้อรัง มีปัญหาการกลืนอาหาร กลืนติด กลืนลำบาก ท้องอืดเรื้อรัง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ไอเรื้อรัง ไข้เรื้อรัง เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอกหรือถ่ายอุจจาระผิดปกติ มีอาการท้องเสียเรื้อรัง ท้องผูกสลับท้องเสีย ถ้าอย่างนี้ละก็พามาพบแพทย์ดีที่สุด

9. ตรวจสุขภาพประจำปี แนะนำให้ตรวจสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปี หรืออย่างน้อยทุก 3 ปี โดยแพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแข็ง เช่น โรคเบาหวาน โรความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง ตรวจหาโรคมะเร็งที่พบบ่อย ได้แก่ มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และยังมีตรวจการมองเห็น การได้ยิน ตลอดจนประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุด้วย

นอกจากการดูแลสุขภาพกายแล้วสุขภาพใจก็เป็นสิ่งสำคัญ การทำจิตใจให้แจ่มใส มองโลกในแง่ดี ไม่เครียดหรือวิตกกังวลกับเรื่องต่าง ๆ มากจนเกินไป รวมถึงการเข้าใจและยอมรับตนเองของท่านและผู้อื่น จะช่วยให้เป็นผู้สูงอายุที่สุขภาพดีอย่างแท้จริง



เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

ปวดประจำเดือน ใครว่าเรื่องจิ๊บ ๆ

Kangzen Of ChiangRAI 
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

ปวดประจำเดือน ใครว่าเรื่องจิ๊บ ๆ
เกิดเป็นผู้หญิง หลายคนคงเคยมีอาการปวดประจำเดือน แต่ความปวดที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องปกติเสมอไป หากปวดมากขึ้น ถี่ขึ้น รุนแรงขึ้น อาจเป็นสัญญาณเตือนความผิดปกติบางอย่าง เราจึงไปคุยกับ นพ.วิบูลย์ กมลพรวิจิตร ศูนย์สุขภาพสตรี ร.พ.บีเอ็นเอช

ปวดประจำเดือน อะไรคือ "ผิดปกติ?"
ในอดีตเราบอกว่า "การปวดประจำเดือน" เป็นภาวะปกติใช่มั้ยครับ? แต่ว่าปวดแค่ไหนล่ะที่จะปกติ ก็สังเกตได้จากการปวดประจำเดือนรบกวนต่อคุณภาพชีวิตมั้ย เช่น นักเรียนไปโรงเรียนได้รึเปล่า คนทำงานต้องหยุดงานมั้ย ถ้ามีอาการแบบนี้นั่นคือการรบกวนคุณภาพชีวิตแน่นอนไม่ปกติ จำเป็นที่จะต้องตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม อาการปวดทางการแพทย์เราแบ่งเป็นสองชนิด คือ ปวดปฐมภูมิกับทุติยภูมิ

ปฐมภูมิ คือ ไม่มีรอยโรคหรือพยาธิสภาพ อาจจะเกิดจากการบีบรัดตัวของมดลูกที่มากกว่าปกติ อาจจะมีความถี่มากขึ้น แรงมากขึ้นเพื่อไล่เลือดออกไป กลุ่มนี้เป็นเพราะในร่างกายมีสารบางอย่างสูงกว่าปกติ ก็คือ "โปรสตาแกลนดิน" ซึ่งถ้าเกิดการหลั่งมากกว่าปกติ จะทำให้เกิดอาการเหล่านี้ได้ กลุ่มนี้จะพบมากในช่วงแรกของประจำเดือน หลังจากนั้นหากมีบุตรแล้วก็จะหายไป (แต่ต้องคลอดเองนะครับ มีน้อยมากที่จะหลงเหลือถึงอายุสัก 40)
ทุติยภูมิ คือ มีรอยโรคซ่อนอยู่ ทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือน เช่น ช็อกโกแลตชีสต์ หรือว่าเป็นโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ หรือมีเนื้องอกมดลูกก็จะทำให้มีอาการปวดได้ ในกลุ่มนี้พบได้บ่อย ยิ่งในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ตั้งแต่อายุ 20 ปลาย ๆ ขึ้นไป
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เป็นปฐมภูมิ อันนี้เป็นประเด็นสำคัญ ดังนั้น ผู้มีสัญญาณอันตรายควรมาพบแพทย์ก่อน เพื่อตรวจวินิจฉัยว่า ไม่ใช่ทุติยภูมิ ไม่ใช่เนื้องอก ไม่ใช่ซีสต์ ไม่ใช่ภาวะอย่างอื่น แต่ถ้าตรวจวินิจฉัยแล้วพบโรคอื่นแทรกซ้อน ก็ต้องรักษาตามสิ่งที่เป็นสาเหตุ

สัญญาณอันตราย : ปวดมากขึ้น
ถ้าเกิดเราต้องใช้ยามากขึ้น กินยาถี่ขึ้น หรือใช้ยาที่รุนแรงมากขึ้น อันนี้ก็เป็นสิ่งที่จะบอกเราได้ว่าอาการปวดมันเปลี่ยนไปจากเดิม เป็นสัญญาณอันตรายที่คนไข้จะรับรู้ได้ว่า ควรจะต้องไปปรึกษาแพทย์แล้ว
มีอาการอย่างอื่นประกอบด้วย เช่น เวลามีประจำเดือนถ่ายอุจจาระเจ็บปวด ปัสสาวะมีเลือดออกมาด้วย หรือมีเพศสัมพันธ์แล้วเจ็บปวดมาก ก็ถือเป็นเรื่องผิดปกติเช่นกัน
ในประจำเดือนปกติ รอบหนึ่งจะมีปริมาณไม่เกิน 70-80 ซี.ซี. แต่จะมีใครที่รู้ว่าประจำเดือนมากี่ซี.ซี. เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือ ตัวเองต้องมีการจดบันทึกว่า มีประจำเดือนกี่วันและมีลักษณะเป็นอย่างไร

การรักษาอาการปวดประจำเดือนผิดปกติ
เราใช้วิธีรักษาด้วยยา เช่น อาจใช้ยาแก้ปวดในกลุ่มที่ต่อต้านโปรสตาแกลนดิน ลดระดับของโปรสตาแกลนดินลง หรือให้ยาคุมกำเนิดเพื่อรักษาระดับไม่ให้มีการหลั่งโปรสตาแกลนดินสูงในบางช่วง แต่โดยทั่วไป ถ้าคนยังไม่มีครอบครัวเนี่ย การกินยาคุมกำเนิดก็อาจดูไม่ค่อยเหมาะสม ก็อาจจะต้องกินยาแก้ปวดไป ซึ่งมีเทคนิคอีกก็คือ เรารู้ว่า จะปวดประจำเดือน เมื่อไหร่ก็กินยาก่อนนิดหน่อยเพื่อที่จะออกฤทธิ์ได้ดีกว่า ส่วนยาคุมกำเนิดที่ออกฤทธิ์ลดระดับโปรสตาแกลนดินอาจจะดีจริง ๆ แต่ว่าเราต้องกินต่อเนื่อง ข้อดีก็คือกลุ่มที่ยังไม่อยากมีบุตรอาจใช้ฤทธิ์ของยาคุมกำเนิดไปด้วยร่วมกับยาลดอาการปวดประจำเดือน แต่ถ้ารักษาแล้วเกิดไม่ดีขึ้น เราก็ต้องกลับไปดูว่ามีสาเหตุอื่นรึเปล่า

หากมีเลือดที่ไม่ใช่ประจำเดือน
อันนี้ไม่เกี่ยวกับปวดประจำเดือนแล้ว อาจจะเป็นอาการเลือดออกผิดปกติที่เราต้องดูว่ามีสาเหตุเกี่ยวกับอะไร ถ้าเกิดมันไม่ออกมาตามประจำเดือนที่ควรจะเป็น เช่น ออกระหว่างรอบเดือน เลือดออกผิดปกติ คือออกเยอะ คล้าย ๆ ประจำเดือนแต่ไม่ได้ออกตามรอบเดือน ก็ถือว่าผิดปกติ และต้องมีการตรวจเพิ่มเติม ยิ่งอายุมาก ๆ อย่าง 40 ขึ้นไป เราก็ต้องระวังโรคอย่างอื่น ให้สังเกตและจดไว้ให้ดี อันนี้คือหน้าที่ที่ควรจดจำไว้ เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ผู้หญิงสามารถดูแลตัวเองได้ในเบื้องต้น

การสังเกตตัวเองเป็นสิ่งง่ายที่สุดที่จะช่วยตัวเองและอาจจะช่วยหมอด้วยในการให้คำวินิจฉัยที่แม่นยำ หรือถ้าเกิดมีความผิดปกติ จำเป็นต้องมาพบแพทย์ก็อย่าไปกลัวทุกคนไม่จำเป็นต้องตรวจภายในทั้งหมด การรักษาหรือการตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมืออย่างอื่นก็มีตั้งเยอะ การตรวจภายในก็อาจจะไม่ต้องทำทุกคน ใครที่ทำได้ก็ทำจริง ๆ แล้วรอยโรคที่เป็นหลายอย่างสามารถตรวจได้โดยวิธีการอื่นที่ไม่ใช่การตรวจภายในคนที่มีเพศสัมพันธ์แล้วทุกคนควรได้รับการตรวจมะเร็งปากมดลูกทุกปี ซึ่งจะสามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูก (และลดอัตราการตาย) ในประเทศเราที่ตอนนี้เป็นอันดับ 2 โดยสามารถตรวจได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและรักษาได้ทันท่วงทีก็ขอฝากสาว ๆ ด้วยนะครับ

ทายซิความเชื่อเหล่านี้ผิดหรือถูก
1. ผู้หญิงทุกคนต้องปวดประจำเดือน
2. ผู้หญิงมีประจำเดือน ไม่สามารถออกกำลังกายได้ (รวมถึงว่ายน้ำ)
3. อาหารการกินและความเครียดมีผลต่อระยะเวลาการมีประจำเดือน
4. ถ้ามีเพศสัมพันธ์ระหว่างมีประจำเดือน คุณจะไม่ตั้งครรภ์
5. ถ้าใช้ผ้าอนามัยแบบสอด เยื่อพรหมจรรย์จะฉีกขาด

เฉลย
1. ผิด บางคนไม่เคยปวดมาก่อนในชีวิตก็มี อนึ่งอาการปวดจะพีคสุดภายใน 24 ชั่วโมงแรกของรอบประจำเดือนนั้น หลังจากนั้นมักจะหายไปตามธรรมชาติ
2. ผิด การมีประจำเดือนไม่ใช่ความเจ็บป่วย ผู้หญิงทุกคนสามารถออกกำลังกายรวมถึงว่ายน้ำได้ ในขณะที่มีประจำเดือน
3. ถูกต้อง
4. ผิด ถ้ามีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ก็สามารถตั้งครรภ์ได้ ยิ่งถ้าระยะการมีประจำเดือนสั้นแล้ว คุณอาจจะตกไข่ในวันสุดท้ายของการมีประจำเดือน อีกข้อหนึ่งก็คือ อสุจิสามารถอยู่ได้ 5-6 วันหลังการมีเพศสัมพันธ์เชียวนะ
5. ผิด เยื่อพรหมจรรย์มาในหลายรูปร่างและขนาด ส่วนใหญ่จะมีช่องเปิดให้ประจำเดือนไหลออก แต่เยื่อนี้ อาจฉีกขาดได้ง่าย ๆ ในขณะที่ปีนต้นไม้หรือเล่นกีฬา อีกอย่างก็คือเยื่อพรหมจรรย์ไม่ใช่เครื่องวัดความบริสุทธิ์ของสาว ๆ นะจ๊ะ

Home Care : บรรเทาปวดประจำเดือนได้ง่าย ๆ ที่บ้าน
• วางถุงน้ำร้อนไว้ที่ท้องน้อย (ใต้สะดือ) แต่อย่าวางแล้วเผลอหลับไปนะ
• ใช้ปลายนิ้วนวดท้องน้อยเบา ๆ เป็นวงกลม
• ดื่มน้ำอุ่น อาบน้ำอุ่น
• แบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ หลาย ๆ มื้อ กินอาหารที่อุดมไปด้วย คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น โฮลเกรน ผักและผลไม้ แต่ให้อยู่ห่างจากเกลือ น้ำตาล แอลกอฮอล์ และกาเฟอีน
• ในขณะที่นอนให้ยกขาขึ้นสูง หรือนอนตะแคงแล้วงอเข่าเล็กน้อย
• ฝึกผ่อนคลาย เช่น นั่งสมาธิ หรือโยคะ
• สำหรับคนที่กินยาแก้ปวด เช่น ไอบูโปรเฟน ให้เริ่มกินก่อน มีประจำเดือนหนึ่งวัน
• ลองกินวิตามินบี 6 แคลเซียม และแมกนีเซียมเป็นอาหารเสริม โดยเฉพาะถ้าคุณปวดจากอาการ PMS
• เดินหรือออกกำลังเป็นประจำ อย่าลืมบริหารส่วนอุ้งเชิงกราน
• ลดน้ำหนัก ถ้าน้ำหนักเกิน

เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557

วัยรุ่นกับสิว สิวเป็นเรื่องของวัยรุ่นเท่านั้นหรือ ?

Kangzen Of ChiangRAI
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

วัยรุ่นกับสิว
สิวเป็นเรื่องของวัยรุ่นเท่านั้นหรือ ?

          สิวพบได้มากในวัยรุ่นจริง แต่ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ แม้แต่ในเด็กทารกจนถึงเด็กแรกเกิด ก็เป็นสิวได้เช่นกัน ในผู้ใหญ่บางรายมีแนวโน้มที่จะเกิดสิวอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมีสิ่งมากระตุ้น เช่น เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบที่อาจก่อให้เกิดสิวได้ ความเครียด และอีกหลายปัจจัย ก็ทำให้สิวเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ได้ จึงสรุปได้ว่าสิวไม่ได้เป็นเรื่องของวัยรุ่นโดยเฉพาะเท่านั้น

          "สิวในวัยรุ่น" (adolescent acne) พบในช่วงอายุ 12-18 ปี โดยพบรอยโรคสิวทุกชนิดคือ สิวอุดตันหัวดำ-หัวขาว สิวอักเสบหัวแดง-หัวหนอง สิวหัวช้าง รอยแดง-รอยดำหลังสิวหาย และแผลเป็นจากการเป็นสิว ถ้าเป็นมากควรพบแพทย์

          ที่น่าสนใจในขณะนี้คือเริ่มพบ "สิวก่อนวัยรุ่น" (preadolescent acne) มากขึ้น สิวชนิดนี้พบในช่วงอายุ 8-11 ขวบ ลักษณะเฉพาะคือพบรอยโรคที่หน้าผาก กึ่งกลางใบหน้า โดยพบสิวอุดตันจำนวนมากเป็นลักษณะเด่น (ซึ่งไม่เหมือนสิวในวัยรุ่นที่มีสิวทุกรูปแบบ) โดยทั่วไปแล้วเด็กก่อนวัยรุ่นที่เริ่มเป็นสิวเร็ว มักมีต่อมไขมันที่ทำงานได้เร็วมากกว่าปกติ

การแต่งงานทำให้สิวหายไปได้

          บางคนเชื่อว่าเพศสัมพันธ์ทำให้สิวดีขึ้น ความเชื่อนี้สืบเนื่องมาแต่ครั้งยุโรปโบราณที่ว่า "การแต่งงานรักษาสิวได้" (Marriage cures acne.) แท้ที่จริงผู้ที่แต่งงานแล้วอาจมีสิวหายไป เพราะวัยที่แต่งงานนั้นมักผ่านพ้นวัยรุ่น จึงเป็นวัยที่พบสิวน้อยลงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

          นอกจากนี้ ในยุโรปยุคโบราณเชื่อกันว่าสิวเป็นโรคติดต่อ พ่อแม่จะกีดกันไม่ให้ลูกสาวไปใกล้ชิดเด็กหนุ่มที่มีสิวเห่อ เพราะกลัวว่าจะไปติดโรคสิวมา คิดว่าข้อนี้แท้จริงอาจเป็นอุบายหลอกเด็ก ความที่ลูกสาวกลัวไม่สวยก็เลยเชื่อไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับหนุ่ม ๆ วัยกำดัดที่ล้วนมีสิวกันทั้งนั้น

          ผู้ชายที่ไม่เป็นสิวเลยก็คงมีแต่ขันทีเท่านั้น เพราะมีการศึกษากันว่า ขันทีจีนที่ถูกตอนโดยตัดอัณฑะออกจะไม่เป็นสิว เพราะไม่มีฮอร์โมนเพศชายที่เป็นต้นกำเนิดของก้อนไขมันอุดตัน ที่เรียกว่า "คอมมีโดน" ที่ทำให้เกิดสิว

          ในทางตรงกันข้ามบางคนเชื่อว่า สิวจะกำเริบเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งก็ไม่เป็นจริง การมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้มีส่วนกระตุ้นให้ฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งเป็นต้นเหตุของสิวหลั่งออกมา จึงไม่เกี่ยวกับการเกิดสิว โดยสรุปก็คือ การมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้มีส่วนทำให้สิวเลวลง หรือดีขึ้นแต่อย่างใด                                            

ถ้าพ่อแม่เป็นสิว...ลูกน่าจะเป็นสิว

          ในบางครอบครัวพ่อแม่อาจมีลักษณะผิวที่เป็นสิวง่าย ลูกจึงอาจเป็นสิวง่ายด้วย ความเชื่อข้อนี้จึงอาจไม่ผิด แต่ก็ไม่ได้พบในทุกครอบครัวเสมอไป มีรายงานในวารสารการแพทย์ของอินเดียว่า พบสิวอักเสบรุนแรงที่เรียกว่าสิวหัวช้าง (acne conglobata) ในครอบครัวต่อเนื่องกันถึง 3 ชั่วอายุคน

          การเกิดสิวของวัยรุ่นเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง และไม่ใช่ว่าวัยรุ่นทุกคนจะต้องเกิดสิวเหมือนกัน ขึ้นกับกรรมพันธุ์ พฤติกรรมสุขภาพ สภาพแวดล้อม การดูแลอนามัยส่วนบุคคล และอื่น ๆ อีกที่เป็นตัวกระตุ้นร่างกาย


แนะนำ >> ดร. คู คลีนซิ่ง บาร์


เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

ใยอาหาร คืออะไร

Kangzen Of ChiangRAI 
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

ใยอาหาร คืออะไร
ตามปกติเราทราบกันถึงความสำคัญของอาหารหลัก 5 หมู่ ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ และไขมัน รวมทั้งพอจะทราบว่าต้องรับประทานอาหารให้หลากหลาย และครบทุกหมู่ในแต่ละมื้ออาหาร เพื่อที่ร่างกายจะได้แข็งแรงและมีสุขภาพที่ดี แต่นอกจากสารอาหารหลักดังกล่าว ยังมีสารอาหารประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกายไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในด้านเพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่ายและลดน้ำหนัก ซึ่งหลายคนคงคุ้นเคยกับชื่อของ เส้นใยอาหาร หรือ ไฟเบอร์ (Fiber) กันเป็นอย่างดี



เส้นใยอาหาร หรือ ไฟเบอร์ เป็นสารประกอบน้ำตาลเชิงซ้อนที่มีโมเลกุลใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของพืช ผักและผลไม้ที่รับประทานได้ แต่น้ำย่อยในร่างกายของคนเราไม่สามารถย่อยและนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งเมื่อผ่านลำไส้ใหญ่ บางส่วนจะถูกย่อยโดยจุลินทรีย์ ทำให้กลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทนไฮโดรเจน น้ำและกรดไขมันสายสั้นๆ ซึ่งจะถูกดูดซึมเข้าร่างกาย ด้วยเหตุนี้เองใยอาหารจึงมีผลต่อการทำงานของลำไส้ และการดูดซึมสารอาหารต่างๆ ในทางเดินอาหาร โดยทั่วไป

เส้นใยอาหารมี 2 ชนิด คือ ชนิดละลายน้ำได้ และ ชนิดละลายน้ำไม่ได้ ซึ่งทั้ง 2 ชนิดมีความจำเป็นต่อร่างกาย สำหรับประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหารและการขับถ่าย คือเส้นใยอาหารจะทำหน้าที่คล้ายไม้กวาด กวาดหรือกำจัดสิ่งต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายให้ออกไปจากทางเดินอาหาร นอกจากนนี้เส้นใยอาหารยังมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ จากลักษณะที่คล้ายฟองน้ำในกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยพบว่ามีการดูดซับน้ำมากกว่าน้ำหนักของตัวเส้นใยถึง 15 เท่า จึงทำให้เกิดการเพิ่มปริมาณน้ำหนักของเนื้ออุจจาระ ทำให้อุจจาระนิ่มลง ส่งผลให้ขับถ่ายได้ง่ายและเร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้เป็นปกติ จึงช่วยป้องกันโรคท้องผูก โรคอ้วน โรคผนังลำไส้โป่งพอง โรคริดสีดวงทวาร และอาจมีผลในการลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และความผิดปรกติอื่นๆ ในลำไส้

ในส่วนของเส้นใยอาหารที่มีบทบาทในการลดความอ้วน เพราะเส้นใยอาหารเมื่ออยู่ในกระเพาะจะละลายน้ำ แล้วกลายเป็นเจลที่มีความหนืดและเกาะตัว มีผลให้กระเพาะว่างช้าลงและอิ่มเป็นเวลานาน ทำให้ไม่รู้สึกโหยหรืออยากกินอะไรมากนัก ส่งผลให้อยากกินอาหารน้อยลง บทบาท ของเส้นใยอาหารมีความสำคัญต่อร่างกายมากกว่าที่คิด ดังนั้นหากในแต่ละมื้ออาหาร นอกจากอาหารหลัก 5 หมู่แล้ว การเพิ่มอาหารที่มีกากใยสูง เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารประเภทใยอาหารอย่างเพียงพอจึงมีความสำคัญ โดยควรบริโภคอาหารที่มีเส้นใยในปริมาณ 20 ถึง 25 กรัมต่อวัน และเพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดจากคุณสมบัติของเส้นใยอาหารทั้ง 2 ชนิด ควรกินอาหารที่มีความหลากหลาย โดยแหล่งอาหารที่อุดมด้วยเส้นใยพบได้ในถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง งา รำข้าว ตามมาด้วยมะเขือพวง ผักกระเฉด เห็ดหูหนู แครอท สะเดา ข้าวสาลี บุก และธัญพืชต่างๆ ส่วนผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารก็เช่น ละมุด ฝรั่ง มะม่วงดิบ เป็นต้น รวมทั้งพวกผลิตภัณฑ์ที่ทำจากอาหารเหล่านี้ก็เป็นแหล่งไฟเบอร์หรือเส้นใย อาหารที่ดีด้วยเช่นกัน เช่น ขนมปังโฮทวีต ผลิตภัณฑ์จากบุก เป็นต้น

เห็นอย่างนี้ ต้องบอกแล้วว่า ใยอาหาร...สำคัญกว่าที่คิดจริงๆ ! ที่สำคัญกว่าก็คือ สามารถหารับประทานได้ง่ายๆ และหลากหลายชนิด .. ใครที่อยากมีระบบขับถ่ายที่ดี หรืออยากผอม ก็ไม่ควรมองข้ามใยอาหารไปเสีย

ขอบคุณที่มา : http://www.siamdara.com/intro_siamdara.html

แนะนำ >> ออแกนิค
http://www.kangzenofcr.com/14827974/ออร์แกนิค-organic

เยี่ยมชมเว็บไซต์
http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/