วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

ควรหรือไม่...ใช้แป้งที่จุดซ่อนเร้น

Kangzen Of ChiangRAI
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

ควรหรือไม่...ใช้แป้งที่จุดซ่อนเร้น
พญ.นิศานาถ ธนะภูมิ สูตินรีแพทย์

หลายคนนิยมทาแป้งโรยตัวเพราะทาแล้วรู้สึกว่าผิวเนียน เนื้อนวล แถมมีกลิ่นกลุ่นหอมละมุนอีกต่างหาก ใครๆ ก็เลยนิยมใช้แป้งกันอย่างแพร่หลาย ใช้กับทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่หน้าจนถึงฝ่าเท้า ไม่เว้นกระทั่งก้นและจุดซ่อนเร้นซึ่งผู้หญิงส่วนมากให้ความเห็นว่า ช่วยให้แห้งสบายจากความชื้นโดยเฉพาะเมื่อใช้แผ่นอนามัยรองซึมซับกันเปื้อน ใช้กันตั้งแต่เด็กแบเบาะจนแก่เฒ่า แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ควบคู่มากับการใช้ชีวิตเลยก็ได้ แต่ใช้กันมากขนาดนี้ ชักสงสัยแล้วสิว่ามันจะทำให้มีปัญหากับสุขภาพบ้างไหม?

ก่อนอื่นมาดูกันว่าแป้งโรยตัวทำมาจากอะไร?
คำว่า “แป้ง” ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Talc” มัน คือแร่ธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเป็นหินที่มีอยู่ในธรรมชาติ ที่มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า soapstone หรือ steatite ส่วนประกอบทางเคมีก็คือ hydrate magnesium silicate แต่มันอาจมีสารอื่น เช่น คลอไรต์ (chlorite) ร่วมด้วย เรารู้จักแป้งกันดีเมื่อมันถูกนำมาใช้งานในรูปของผงฝุ่นแป้ง และเพราะคุณสมบัติของแป้งที่ดีในเรื่องของการทนไฟทนกรด ต้านทานต่อการนำไฟฟ้า ช่วยการผสมผสานและดูดซึมซับความชื้นทำให้พื้นผิวที่มันเคลือบอยู่แห้ง เนียนลื่นไม่ดูดติดกันเป็นสิ่งที่ทำให้มันถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทุกวงการทั้ง ในภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะทำสี ทำสารหล่อลื่น เซรามิคกันไฟ แก้ว ยาขัดล้างทำความสะอาด กระดาษ ยาง ฯลฯ จนถึงยาและเครื่องสำอาง ตั้งแต่แป้งฝุ่นทาหน้า แป้งเด็ก สบู่ ครีมทาผิว น้ำยาดับกลิ่นตัว ฯลฯ เมื่อใช้แป้งกันมากมายในชีวิตประจำวันแล้วจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ หรือไม่?

อันตรายต่อสุขภาพปอด
เวลาทาแป้งตอนโรยแป้ง ผงแป้งจะลอยละล่องในอากาศ และถ้าผงฝุ่นแป้งถูกสูดเข้าทางเดินหายใจทีละเล็กทีละน้อยเป็นเวลานานๆ มันก็อาจจะสะสมอยู่ในปอด โดยที่เซลล์บุผิวปอดจะดักจับแป้งไว้เป็นก้อน เราเรียกภาวะนี้ว่า “pneumoconiosis” ทำให้มีปัญหากับการหายใจ และถ้าสูดเข้าครั้งละมากๆ เช่น การสำลักผงแป้งเข้าไป ก็มีรายงานหลายชิ้นบอกว่า มีเด็กทารกที่ปอดอักเสบและตายจากสาเหตุนี้ สรุปว่าแป้งอาจทำให้ปอดมีปัญหาได้

แป้งไม่ทำให้เกิดมะเร็งที่ปอด เว้นแต่ว่าแป้งนั้นจะมีใยหินแอสเบสตอส (Asbestos Fibers) ผสมอยู่ด้วย แป้งที่ใช้ทั่วไปไม่มีแอสเบสตอส และแป้งที่มีแอสเบสตอสอยู่ก็มีจากแห่งเดียวในแหล่งแป้งของอเมริกา ซึ่งทำเหมืองในกิจการของการค้นคว้าวิจัยเท่านั้นไม่เอามาใช้ในอุตสาหกรรม อื่นๆ

อันตรายต่อสุขภาพรังไข่
เพราะการใช้แป้งที่ก้นกับอวัยวะเพศมีมากจนเป็นแฟชั่นฮิตอีกอย่างหนึ่ง ในช่วงต้นของยุคปี ค.ศ. 1970 ก็เลยมีการสงสัยว่าแป้งทำให้เกิดมะเร็งที่รังไข่ได้หรือไม่? ก็มีคนทำการค้นคว้าและย้อนถามพบว่า คนที่เป็นมะเร็งรังไข่ 43% ที่ใช้แป้งอย่างมากมายกับอวัยวะเพศ แต่พวกที่ไม่ได้เป็นมะเร็งรังไข่ 28% ก็มีการใช้แป้งกับอวัยวะเพศเช่นกัน มันทำให้อัตราเสี่ยงมีมากถึงเกือบ 2 เท่า และมีอีกมากมายกว่า 30 รายการค้นคว้าที่ได้ผลประมาณว่าเป็นแบบเดียวกันนี้ บางรายงานสรุปความเสี่ยงมากถึง 2.5 เท่า

หลังจากปี ค.ศ. 1973 ในสหรัฐอเมริกาก็ออกกฎหมายบังคับให้แป้งที่ใช้ทาตัวและเครื่องสำอางต้องปราศ จากแอสเบสตอส (เพราะคิดว่าอาจเป็นเพราะแอสเบสตอสทำให้เกิดมะเร็งที่ปอดและมะเร็งที่เยื่อ บุในช่องปอดและช่องท้อง) แต่ก็ยังมีรายงานในปีถัดมาเรื่อยๆ ว่ามีโอกาสเสี่ยงเกิดมะเร็งที่รังไข่สูงขึ้น 33% ในพวกที่ใช้แป้งกับอวัยวะสืบพันธุ์ และมีรายงานหนึ่งที่พบว่าต่อมน้ำเหลืองที่อุ้งเชิงกรานของคนไข้ที่เป็น มะเร็งระยะที่ 3 ของรังไข่แบบ papillary serous มีเจ้า talc อยู่ในนั้น

สรุปว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องของการใช้แป้งที่บริเวณอวัยวะเพศและทำให้เกิด มะเร็งของรังไข่แบบเซลล์บุพื้นผิว (epithelial cancer)โดยอาจเป็นไปได้ที่แป้งสามารถหลงเข้าไปในร่างกายผ่านช่องคลอดมดลูก และท่อนำไข่เข้าไปสู่ช่องท้อง และด้วยความเชื่อที่ว่า talc เป็นอินออร์แกนิค (สารอนินทรีย์) จึงไม่สามารถย่อยสลายได้ในคน ขณะนี้แป้งที่ใช้โรยตัวและเครื่องสำอางในอเมริกาไม่ได้ใช้ talc แล้ว แต่เปลี่ยนมาใช้แป้งข้าวโพด (corn starch) ซี่งเป็นสารออร์แกนิค (สารอินทรีย์) สามารถย่อยสลายตัวในคนได้ ซึ่งคาดว่าน่าจะปลอดภัยกว่า ถึงตอนนึ้ยังไม่มีรายงานว่ามีความเกี่ยวข้องระหว่างการใช้แป้งข้าวโพดกับการ เกิดมะเร็งที่รังไข่

แป้งไทยมีส่วนผสมต่างจากแป้งเมืองนอกหรือไม่?
แป้งโรยตัวและเครื่องสำอางที่เมืองไทยทำจาก talc เชื่อว่าไม่น่าจะมีใยหินหรือแอสเบสตอสปนเปื้อน แต่เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะมีอันตรายต่อสุขภาพโดยเฉพาะเรื่องของ มะเร็งรังไข่ดั่งรายงานทางการแพทย์ที่มีมากมาย ดังนั้นแม้แต่แป้งในอเมริกาที่เปลี่ยนไปใช้แป้งข้าวโพดแล้วก็ตาม กุมารแพทย์และสูตินรีแพทย์จึงแนะนำว่า ไม่ควรใช้แป้งหรือโลชั่นกับอวัยวะสืบพันธุ์ ดังนั้น...

  • เด็กๆ ที่ต้องใส่ผ้าอ้อม สาวๆ ที่ใช้ผ้าอนามัยยามมีประจำเดือน หรือหญิงวัยทองที่ มักเคยชินทาแป้งบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์อยู่เสมอนั้น ที่จริงแล้วไม่มีความจำเป็นและไม่เหมาะสมที่จะทำเช่นนั้นอีกต่อไป ใครทำอยู่ก็เลิกเสียดีกว่า

• การดูแลสุขลักษณะบริเวณอวัยวะเพศและก้นไม่ให้อับชื้นก็คือ การล้างด้วยสบู่อ่อนแล้วล้างน้ำให้หมดสบู่ ตามด้วยการซับให้แห้งก่อนใส่ผ้าอนามัยชิ้นใหม่ และหมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อมและผ้าอนามัยบ่อยๆ จะได้ไม่เหนอะตัว และไม่มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์

• ถ้ารู้สึกว่ามีอาการแสบคันบริเวณก้นหรืออวัยวะเพศ ให้สังเกตและดูแลเรื่องของความชื้น หรือการแพ้ผ้าอนามัย หรือการใช้สบู่ที่มีความเป็นกรดหรือด่างมากเกินไป หรืออาจมีการติดเชื้อก็ได้ อย่านิ่งนอนใจควรไปปรึกษาแพทย์

• เมื่อรู้สึกอยากจะใช้แป้งกับอวัยวะเพศ ก็ให้นึกว่า “อย่าเสี่ยงต่อการเกิดปัญหากับรังไข่ในอนาคตจะดีกว่า”

• ถ้ารู้สึกไม่สบายและอับชื้นบริเวณจุดซ่อนเร้น อาจใช้วาสลีนหรือยูเรียช่วยทาเคลือบผิวและเปลี่ยนแผ่นอนามัยบ่อยๆ

• ถ้าไม่มีประจำเดือนก็ไม่ควรใช้แผ่นอนามัยรองกันเปื้อนเพราะพบได้บ่อยๆ ว่ามีอาการแพ้และผื่นขึ้นได้บ่อย

• สำหรับการทาแป้งให้เด็กๆ คุณแม่ที่ชอบบีบแป้งใส่อุ้งมือและทาไปยังบริเวณก้นและอวัยวะเพศของเด็กทีละมากๆ ควรเลิกพฤติกรรมนี้ดีกว่าค่ะ

• ถ้าจะใช้แป้งทาที่อื่นๆ ในร่างกายก็เทแป้งครั้งละน้อย และพยายามอย่าให้ฟุ้งในอากาศ เพราะจะปนเปื้อนเข้าปอดทั้งของคุณและเด็ก

• ไม่ควรให้เด็กถือกระป๋องแป้งเขย่าเล่น เพราะอาจหกใส่และสำลักหายใจเอาแป้งเข้าปอดและปอดอักเสบ ซึ่งถ้าเป็นรุนแรง
มีโอกาสถึงตายได้

ดังนั้นทุกครั้งที่ทาแป้ง ก็ควรใช้ทีละน้อยๆ และทาในบริเวณที่เหมาะสมนะคะ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และที่สำคัญช่วยประหยัดเงินในการซื้อแป้งเป็นโหลๆ อีกต่างหาก


แนะนำ  - ดิวินิค เลดี้ เจล มายด์ วอช (200 มล.) คลิกที่ภาพเพื่อไปยังเว็บไซต์
คลิกที่ภาพเพื่อไปยังเว็บไซต์



http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

การดูแลผิวและวิธีการเลือกผลิตภัณฑ์

Kangzen Of ChiangRAI 
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

การดูแลผิวและวิธีการเลือกผลิตภัณฑ์
ในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ถือว่าเป็นเดือนปลายปีที่เตรียมตัวเข้าสู่หน้าหนาวกันแล้วนะคะ สังเกตุได้ว่าช่วงนี้จะมีลมเย็นๆ มาให้เราได้สัมผัสกันในตอนเช้า และช่วงเย็นท้องฟ้าจะมืดเร็วกว่าปกติ อีกหนึ่งสัญญาณที่เริ่มทักทายว่าเข้าสู่หน้าหนาวแล้วนั่นคือ อาการผิวหนังแห้ง ลอกเป็นขุย ปากแห้งมากกว่าปกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนกังวล หน้าหนาวนี้เราจึงควรเตรียมผลิตภัณฑ์บำรุงผิวไว้ให้พร้อมเตรียมสู้กับหน้า หนาว เพื่อให้ผิวของคุณสวยเนียน เต่งตึงเช่นเดิมค่ะ

- การทำความสะอาดบริเวณใบหน้า ควรใช้น้ำเย็นทำความสะอาดใบหน้าแทนการใช้น้ำอุ่น แม้ว่าอาการเย็นจะทำให้หลายคนเลือกใช้น้ำอุ่น แต่รู้หรือไม่ว่าการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจะทำให้ผิวหน้าของเราแห้งยิ่งกว่า เดิม ทางที่ดีควรเลือกน้ำเย็นหรือน้ำที่อุณหภูมิปกติจะดีกว่าค่ะ ส่วนการเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าควรเลือกโฟมล้างหน้า หรือเจลล้างหน้าที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์ จะช่วยทำให้ใบหน้าชุ่มชื้นเหมาะกับช่วงหน้าหนาวนี้ได้เป็นอย่างดีค่ะ- การทาครีมบำรุงผิวช่วงกลางวัน หลังจากล้างหน้าเรียบร้อย ควรทาครีมบำรุงผิวที่เลือกให้เข้ากับสภาพผิวหน้าของแต่ละคน จากนั้นควรบำรุงและปกป้องแสงแดดด้วยครีมกันแดด ถึงแม้ในช่วงหน้าหนาวอาจจะเจอแสงแดดน้อยกว่าในช่วงหน้าร้อน แต่สาวสาวไม่ควรลืมทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านนะคะ การเลือกครีมกันแดดควรเลือกที่มีค่า SPF 15-20**การเลือกค่า SPF ถ้าต้องเจอแสงแดดสะท้อนในที่ทำงาน หรือ สาวออฟฟิศที่โดนแดดเฉพาะตอนกลางวัน SPF 15 ก็เพียงพอแล้วคะ / สำหรับผู้ที่ทำงานกลางแจ้งคนที่ต้องออกแดดบ่อยควรเลือกใช้ SPF 30 / กิจกรรมว่ายน้ำ หรือไปชายทะเล เล่นกีฬากลางแจ้ง ควรเลือกใช้ค่า SPF 30 ขึ้นไป และทาซ้ำทุกทุก 1 ชั่วโมง ที่สำคัญกว่านั้นต้องทาก่อนลงน้ำ หรือออกกลางแจ้งก่อนครึ่งชั่วโมงหรือการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของม อยส์เจอร์ไรเซอร์เข้มข้นจะช่วยปกป้องผิวหน้าจากแสดงแดดได้มากยิ่งขึ้นค่ะ สำหรับผิวกายการก็เช่นเดียวกัน หลังจากอาบน้ำควรเลือกครีมทาบริเวณช่วงขา แขน เวลาใส่กระโปรงหรือกางเกงขาสั้น ผิวจะดูชุ่มชื้น โดยไม่ลืมทาครีมกันแดดเช่นเดียวกับผิวหน้าค่ะ

- การทาครีมบำรุงผิวช่วงกลางคืน ช่วงกลางคืนเป็นเวลาที่ควรให้ผิวกายได้พักผ่อน โดยเมื่อทำความสะอาดทั้งบริเวณใบหน้าและลำตัวเรียบร้อยแล้ว การทาครีมทันทีจะช่วยทำให้ผิวกักเก็บน้ำ ช่วยทำให้ผิวของเราชุ่มชื้นมากขึ้น หรืออีกวิธีหนึ่งสำหรับการทำครีมบำรุงผิวหน้าตอนกลางคืน ให้ใช้น้ำอุ่นพรมเบาเบาที่ใบหน้า ก่อนทาครีม เพื่อการซึบซาบได้ดีมากยิ่งขึ้นค่ะ



http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/
Kangzen Of ChiangRAI 
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

การล้างหน้าแล้ว บางทีคนเราลืมสิ่งที่เบสิคที่สุด และจุดประสงค์ของการล้างหน้าว่าคืออะไร

จุดประสงค์การล้างหน้าก็เพื่อไม่ให้หน้าสกปรกนั่นเอง

จริงๆ แล้วพวกผู้ชายทีสิวขึ้นที่หน้าเยอะๆ บางทีไม่ต้องสรรหายาหรือสบู่วิเศษอะไรเลย เพียงแค่หาคอนเซ่ปที่ว่าถ้าหน้าไม่มัน สิวมันก็ไม่ขึ้น ฉะนั้นก็จงล้างหน้าใจตำแหน่งที่มีความมันให้มันมีความมันน้อย อย่าให้หน้ามัน ก็จะลดโอกาสการเกิดสิวได้อย่างมาก และตรงประเด็นด้วย ส่วนจะใช้อะไรล้างนั้นก็แล้วแต่ สบู่ก็ได้ โฟมล้างหน้าก็ดี แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ยี่ห้อแพงๆ

แค่นี้ก็หน้าใสและลดโอกาสการเกิดสิวได้เยอะแล้ว

ถ้า สงสัยว่าจริงเหรอ แค่นี้เหรอก็ช่วยได้ ก็ลองเอาไปทำดูนะครับว่าช่วยได้จริงไหม อย่าลืมว่าของที่ขายนั้นถูกครอบงำด้วยแฟชั่น, การตลาด ฯลฯ แต่จริงๆ ผู้บริโภคเองนั่นแหละที่มองข้ามจุดประสงค์ของการล้างหน้าไปเอง



http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

ประโยชน์ของคอลโรฟิลล์

Kangzen Of ChiangRAI 
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

ประโยชน์ของคอลโรฟิลล์
ทุกวันนี้เราได้รับสารพิษมากที่สุด คงหนีไม่พ้นอาหารที่เรารับประทานเข้าไป สารเคมีมากมายที่มาปะปนกับอาหารเช่น สีผสมอาหาร สารกันบูด สารฟอกสี สารให้กลิ่นและรสตับและไตมีหน้าที่ในการกรองสารพิษ ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย หากสารพิษที่เรารับประทานมากเกินไป ตับกับไตก็จะมีปัญหาเกิดเป็น ตับอักเสบ มะเร็งในตับ ไตวาย เป็นต้น เราจึงควรทำความสะอาดภายในร่างกายของเราเป็นประจำ มนุษย์ส่วนใหญ่อาบน้ำวันละสองครั้งต่อวัน เพื่อชำระล้างสารพิษ ดังนั้นภายในร่างกายก็มีความต้องการขับล้างสารพิษเช่นกัน นั่นคือ การใช้คอลโรฟิลล์ ในการช่วยขับล้างสารพิษซึ่ง คอลโรฟิล์สกัดจากหญ้าอัลฟาฟ่า คอลโรฟิลล์นิยมใช้รับประทานกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งคุณประโยชน์ของคอลโรฟิลล์นั้นมีมากมาย

ประโยชน์ของคอลโรฟิลล์
1.) ช่วยในการบวนการล้างสารพิษและขจัดของเสียสะสมในร่างกาย
2.) ช่วยทำให้ผิวพรรณสดใส
3.) ลดสิว ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ
4.) ช่วยกระตุ้นในการสร้างเม็ดเลือดแดง
5.) ช่วยฟอกเลือดให้สะอาด
6.) ช่วยฟื้นฟูการทำงานของตับ
7.) ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบตัน เส้นเลือดขอด
8.) เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
9.) ลดรอยคล้ำใต้ดวงตา
10.) ลดอาการภูมิแพ้ ผื่น หอบหืด
11.) บรรเทาอาการปวดประจำเดือน ปวดศีรษะ ไมเกรน
12.) ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร
13.) บรรเทาอาการกระเพาะปัสสาว่ะอักเสบ
14.) ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
15.) ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
16.) ช่วยให้เงือกมีสุขภาพแข็งแรง



http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

ประโยชน์ของคอลลาเจน

ประโยชน์ของคอลลาเจน

ร่างกายของคนเรานั้นจะมี คอลลาเจน หนาแน่นในวัยเด็ก และจะค่อยๆเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา จึงเห็นได้ว่าเมื่ออายุมากขึ้น เส้นใยคอลลาเจนเหล่านี้จะเสื่อมสลาย ทำให้ชั้นผิวหนังยุบตัวลงอันเป็นสาเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอย รวมถึงการเกิดปัญหาข้อเสื่อม กระดูกเสื่อม อันเนื่องมาจาก คอลลาเจนในกระดูกลดลง ทำให้กระดูก ไม่สามารถรับน้ำหนักได้ ขาดความยืดหยุ่น เปราะหักง่าย เป็นต้น โดยพบว่าคนที่มีอายุ 25 ขึ้นไป จะมีปริมาณ คอลลาเจน ลดลงทุกปี ปีละ 1.5% คอลลาเจนมีส่วนช่วยในการป้องกันอวัยวะในร่างกาย และเชื่อมอวัยวะต่างๆให้อยู่ด้วยกัน ช่วยให้โครงสร้างของร่างกายแข็งแรง และยืดหยุ่นดี ช่วยให้ข้อต่อต่างๆ ขยับเคลื่อนไหวไปมาไม่ติดขัด โดยเฉพาะข้อต่อในการรับน้ำหนักและขยับเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆ เช่น เดินหรือวิ่ง ซึ่งคอลลาเจนมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย โดยแยกเป็นส่วนต่างๆ ดังนี้

ประโยชน์ของคอลลาเจนต่อผิวหนัง
คอลลาเจน เป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กระดูกอ่อน กระดูกและเนื้อเยื่อเกี่ยวกันต่างๆ เป็นส่วนประกอบหลักของเครือข่ายชั้นผิวหนัง มากกว่า 1 ใน 3 ของโปรตีนในร่างกาย  ซึ่งจัดเป็นจำนวนที่สูงมากและเป็น 70 % ของผิวหนังคนเราผิวหนังเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย ผิวหนังประกอบด้วยชั้นผิว 3 ชั้น ชั้นแรก คือ หนังกำพร้าเป็นหนังส่วนที่อยู่นอกสุดของชั้นผิวหนัง ประกอบด้วยเซลล์ที่เรียกว่า epithelial cells ชั้นถัดมา คือ ชั้นที่อยู่ต่ำกว่าชั้นหนังกำพร้าลงไป ประกอบด้วยเส้นเลือด ต่อมน้ำเหลือง ต่อมเหงื่อ ต่อมขนและต่อมไขมันเป็นต่อมที่ผลิตไขมันเพื่อป้องกันแบคทีเรีย ชั้นที่สามเป็นชั้นที่สนับสนุนการทำงานของชั้นเนื้อเยื่อไขมัน ผิวหนังจะคงความอ่อนนุ่มและยืดหยุ่นตราบเท่าที่ยังคงรักษาความชุ่มชื้นได้มากกว่า 10 % ถ้าผิวหนังแห้งมากจะมีลักษณะบวมแดง อักเสบ ผิวหนังชั้นนอกจะมีลักษณะหยาบ เปราะบาง ไม่สดใส จึงต้องใช้โลชันและครีมบำรุงผิวเป็นตัวช่วยในการรักษาความชุ่มชื้น ในชั้นที่ต่ำกว่าชั้นผิวหนังชั้นนอกสุดจะเสื่อมสภาพไปตามอายุ ซึ่งไม่ใช่ขาดเฉพาะความชุ่มชื้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการลดลงของ Polypeptides เช่น Elastin และคอลลาเจนอีกด้วย 

ประโยชน์ของคอลลาเจนต่อข้อและเอ็น
คอลลาเจน เป็นส่วนประกอบประมาณ 80 % ของเอ็น (จุดเชื่อมต่อระหว่างกระดูกกับกระดูก) และเส้นเอ็น (จุดเชื่อมต่อระหว่างกระดูกและกล้ามเนื้อ) ส่วน 20 % ที่เหลือคือ proteoglucans และ fibroblasts โดยปกติสมรรถภาพของเข่าที่เสื่อมลงมีสาเหตุมาจากกระดูกอ่อนในข้อต่อหัวเข่าหมดไป ทำให้กระดูกเสียดสีกัน ท้ายสุดประโยชน์ของคอลลาเจนที่เราต้องการคือ การหยุดการเสียดสีดังกล่าวและสร้างกระดูกอ่อนเข่าขึ้นมาใหม่ กรดอะมิโนในคอลลาเจนไฮโดรไลเสทจะถูกนำมาสร้างเป็นกระดูกอ่อน ทำให้มีโครงสร้างที่แข็งแรงและข้อต่อที่ยืดหยุ่น
 
ประโยชน์ของคอลลาเจนต่อกระดูก
คอลลาเจน เป็นการช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก คอลลาเจนเมื่อเข้าสูร่างกายจะกระตุ้นการเจริญเติบโตและการทำงานของเซลล์ Osteoblast ที่ทำหน้าที่สร้างกระดูก  จึงช่วยเพิ่มมวลกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน ป้องกันกระดูกเปราะและแตกหักง่าย  แนะนำให้รับประทานร่วมกับแคลเซียมป็นประจำ


วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

โรคกรดไหลย้อน

Kangzen Of ChiangRAI 
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

โรคกรดไหลย้อน
โรคการไหลย้อนจากกระเพาะอาหารมาหลอดอาหาร หรือที่นิยมเรียกว่า โรคกรดไหลย้อน (Gastro-Esophageal Reflux Disease) คือภาวะที่มีกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร ซึ่งหลอดอาหารเป็นอวัยวะที่ไม่ทนต่อกรด จึงทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร ซึ่งโดยปกติ หลอดอาหารจะมีการบีบตัวไล่อาหารลงด้านล่างและหูรูด ทำหน้าที่ป้องกันการไหลย้อนของน้ำย่อย กรด หรืออาหาร ไม่ให้ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร แต่ในปัจจุบัน หูรูดส่วนนี้ทำงานได้น้อยลงในบางคน ซึ่งจะตรวจพบได้ประมาณ 1 ใน 5 คน พบในคนทั่วไป ทุกกล่ม ทุกช่วงอายุ แต่จะพบได้มากในคนอ้วน หรือสูบบุหรี่ และการไหลย้อนของกรด ถ้ามีมาก อาจไหลออกนอกหลอดอาหาร อาจทำให้มีผลต่อกล่องเสียง ลำคอ หรือปอดได้ ซึ่งหากละเลยไม่ไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษา อาจทำให้เรื้อรังกลายเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้

วิธีการรักษา

- ลดน้ำหนักสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน เพราะคนอ้วนจะมีความดันในช่องท้องสูงทำให้กรดไหลย้อนได้มาก

- งดบุหรี่เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้เกิดกรดมาก และหูรูดอ่อนแรง

- ใส่เสื้อหลวมๆ

- ไม่ควรจะนอน ออกกำลังกาย หรือยกของหนักหลังออกกำลังกาย

- งดอาหารก่อนนอน 3 ชั่วโมง

- งดอาหารมันๆ อาหารทอด อาหารที่ปรุงด้วยหัวหอม กระเทียม
มะเขือเทศ ช้อกโกแลต ถั่ว ลูกอม เนย ไข่ เผ็ด เปรี้ยว เค็มจัด

- รับประทานอาหารพออิ่ม

- หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ น้ำอัดลม เบียร์ สุรา

- นอนหัวให้สูงประมาณ 6-10 นิ้ว โดยหนุนที่ขาเตียง ไม่ควรใช้หมอนหนุนที่ศีรษะเพราะทำให้ความดันในช่องท้องสูง

- รับประทานอาหารมื้อเล็กๆ

- ควรจะเข้านอนหรือเอนกายหลังจากรับประทานอาหารไปแล้วอย่างน้อย 3 ชั่วโมง

- ผ่อนคลายความเครียด




http://www.kangzenofcr.com/

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

5 เคล็ดลับวิธีทําให้ผมยาวเร็ว

Kangzen Of ChiangRAI รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

5 เคล็ดลับวิธีทําให้ผมยาวเร็ว

 เคล็ดลับที่ 1 การออกกำลังกายให้กับผม รากผม วิธีนี้เป็นวิธีการง่ายๆไม่ยุ่งยาก เนื่องจากเส็นผมของคนเราถูกยึดติดกับหนังศรีษะด้วยรากผม เราสามารถบริหารรากของผม ได้โดยการก้มศรีษะค้างไว้เป็นเวลา 30 วินาที สลับกับปกติ ไม่แนะนำให้ทำนานนะจ๊ะ เพราะเดี๋ยวจะหน้ามืดหรือเลือดตกหัวเอา
เคล็ดลับที่ 2 นวดหนังศรีษะ การนวดหนังศรีษะเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนเลือดได้เป็นอย่างดี สำหรับการปฏิบัติไม่ยากเลย เพียงแค่นวดศริษะเบาๆในขณะที่ทำการสระผม แต่หากอยากผ่อนคลายกว่านี้ก็ใช้บริการร้านตัดผมได้เช่นกัน
เคล็ดลับที่ 3 การเลือกทานอาหารโปรตีน  ปลา ผัก
– โปรตีนมีประโยชน์ในการซ่อมแซมส่วนที่สึกกหรอ อีกทั้งยังสารถช่วยลดอาการหลุดร่วง หรือแตกหักของเส้นผมได้
– โปรตีน  ปลา ผัก ช่วยในการไหลเวียนโลหิตได้ ฉะนั้นบริเวณใดก็ตามในร่างกายที่มีเลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงได้ดีจะทำให้ ร่างกายบริเวณนั้นแข็งแรง มีชีวิตชีวา รวมไปถึงเส้นผมบนศีรษะด้วย
เคล็ดลับที่ 4 การแปรงผมให้ถูกต้อง เลือกใช้หวีซีกใหญ่ ห่าง เพื่อหวีผมหลังจากสระใหม่ๆในขณะที่ผมเปียก เพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดการขาดหลุดร่วง
เคล็ดลับที่ 5 การเล็มเส้นผม หลายครั้งเรามักเสียดายผม ไม่อยากตัด แต่การตัดหรือเล็มปลายผมเพียงเล็กน้อยจะเป็นการกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมได้เป็นอย่างดี กว่าคนที่ปล่อยให้ผมยาวแบบธรรมชาติ อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาสำหรับคนที่ผมแตกปลายได้อีกด้วย




วิธีทําให้หน้าใสด้วยตัวเอง 8 ประการ

วิธีทําให้หน้าใสด้วยตัวเอง 8 ประการ

1.เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารมันเพื่อป้องกันสิว เลือกทานอาหาร ผลไม้ หรือผักหลากสี เพื่อให้ร่างกายรับสารอาหารอย่างครบถ้วน
2.ออกกำลังกายเป็นประจำและพักผ่อนให้เพียงพอ หลังจากการนั่งทำงานในออฟฟิตนานๆทำให้ร่างกายอ่อนล้า การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย น่าตาผิวพรรณเปล่งปลั่ง ควรออกอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งต่อเนื่องครั้งละ 30 นาที รับรองว่าไม่ใช่แค่ผิวหน้าที่จะใสขึ้นแต่ร่างกายคุณจะแข็งแรงเพิ่มขึ้นด้วย อย่าลืมนอนให้ครบ 8 ชั่วโมงนะจ๊ะ
3.ล้างหน้าให้สะอาดและถูกวิธี เพื่อผิวสวยหน้าใส โดยเลือกโฟมล้างหน้าให้เหมาะกับผิวของตนเอง อย่างเช่น ถ้าเป็นคนผิวมัน ก็ควรเลือกใช้โฟมแบบออยล์คอนโทรล เป็นต้น และไม่ควรหน้าล้างเกินวันละ 2 ครั้ง เพราะจะทำให้ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นได้
4.ทาครีมบำรุงผิวทุกครั้งหลังล้างหน้า ไม่จำเป็นต้องเป็นครีมราคาแพง เพื่อเป็นการทดแทนความชุ่มชื้นที่สูญเสียไปหลังล้างหน้า ในช่วงกลางวันควรเลือกครีมที่มีส่วนผสมสารกันแดด
5.อย่าขัดหน้าหรือสครับผิวหน้าบ่อยเกินไป แต่ควนหาเวลาว่าง พอกหน้าและขัดหน้าสัปดาห์ละ1ครั้ง เพื่อเป็นการทำความสะอาดผิวหน้าที่ลึกซึ้งมากกว่าการล้างหน้าตามปกติ บำรุงผิวไปในตัว และช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นค่ะ เพื่อผิวพรรณที่สวย หน้าใสเปล่งปลั่ง ดูสุขภาพดีคะ
6.งดหรือลดดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ผิวพรรณและหน้าใสๆของเรานั้นขาดความสดใส และเกิดริ้วรอยหมองคล้ำได้ง่าย
7.หากคุณเป็นคนชอบแต่งหน้า ควรเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางออกจากผิวหน้าทุกครั้งก่อนล้างหน้า และไม่ควรเข้านอนโดยที่ยังไม่ได้ล้างหน้า ที่สำคัญ ควรทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าเป็นประจำ อาจจะสัปดาห์ละครั้งหรือเดือนละ 2 ครั้งก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าใช้งานติดต่อกันนานเป็นปีโดยไม่ซักล้าง เพราะมันสะสมสิ่งสกปรกได้ดีเลยทีเดียว
8.พยายามอย่าเครียด ยิ้มเข้าไว้ ทำใจให้สดชื่น มองโลกในแง่ดี จะช่วยลดความเครียดที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวได้ ดังนั้น หันมายิ้มกันเยอะ ๆ

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

วิธีทําให้หน้าใสด้วยตัวเอง 8 ประการ

Kangzen Of ChiangRAI
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

วิธีทําให้หน้าใสด้วยตัวเอง 8 ประการ
1.เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารมันเพื่อป้องกันสิว เลือกทานอาหาร ผลไม้ หรือผักหลากสี เพื่อให้ร่างกายรับสารอาหารอย่างครบถ้วน

2.ออกกำลังกายเป็นประจำและพักผ่อนให้เพียงพอ หลังจากการนั่งทำงานในออฟฟิตนานๆทำให้ร่างกายอ่อนล้า การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย น่าตาผิวพรรณเปล่งปลั่ง ควรออกอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งต่อเนื่องครั้งละ 30 นาที รับรองว่าไม่ใช่แค่ผิวหน้าที่จะใสขึ้นแต่ร่างกายคุณจะแข็งแรงเพิ่มขึ้นด้วย อย่าลืมนอนให้ครบ 8 ชั่วโมงนะจ๊ะ

3.ล้างหน้าให้สะอาดและถูกวิธี เพื่อผิวสวยหน้าใส โดยเลือกโฟมล้างหน้าให้เหมาะกับผิวของตนเอง อย่างเช่น ถ้าเป็นคนผิวมัน ก็ควรเลือกใช้โฟมแบบออยล์คอนโทรล เป็นต้น และไม่ควรหน้าล้างเกินวันละ 2 ครั้ง เพราะจะทำให้ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นได้

4.ทาครีมบำรุงผิวทุกครั้งหลังล้างหน้า ไม่จำเป็นต้องเป็นครีมราคาแพง เพื่อเป็นการทดแทนความชุ่มชื้นที่สูญเสียไปหลังล้างหน้า ในช่วงกลางวันควรเลือกครีมที่มีส่วนผสมสารกันแดด

5.อย่าขัดหน้าหรือสครับผิวหน้าบ่อยเกินไป แต่ควนหาเวลาว่าง พอกหน้าและขัดหน้าสัปดาห์ละ1ครั้ง เพื่อเป็นการทำความสะอาดผิวหน้าที่ลึกซึ้งมากกว่าการล้างหน้าตามปกติ บำรุงผิวไปในตัว และช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นค่ะ เพื่อผิวพรรณที่สวย หน้าใสเปล่งปลั่ง ดูสุขภาพดีคะ

6.งดหรือลดดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ผิวพรรณและหน้าใสๆของเรานั้นขาดความสดใส และเกิดริ้วรอยหมองคล้ำได้ง่าย

7.หากคุณเป็นคนชอบแต่งหน้า ควรเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางออกจากผิวหน้าทุกครั้งก่อนล้างหน้า และไม่ควรเข้านอนโดยที่ยังไม่ได้ล้างหน้า ที่สำคัญ ควรทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าเป็นประจำ อาจจะสัปดาห์ละครั้งหรือเดือนละ 2 ครั้งก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าใช้งานติดต่อกันนานเป็นปีโดยไม่ซักล้าง เพราะมันสะสมสิ่งสกปรกได้ดีเลยทีเดียว

8.พยายามอย่าเครียด ยิ้มเข้าไว้ ทำใจให้สดชื่น มองโลกในแง่ดี จะช่วยลดความเครียดที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวได้ ดังนั้น หันมายิ้มกันเยอะ ๆ

***หากทำครบ 8 ข้อนี้รับรองว่าผิวหน้าของคุณ จะดูใสและอ่อนกว่าวัยแน่นอน


http://www.kangzenofcr.com/
http://kangzenofcr.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

ล้างพิษ ฟื้นพลังชีวิต

ล้างพิษ ฟื้นพลังชีวิต

            “อนุมูลอิสระ” เชื่อเหลือเกินว่าคำๆ นี้ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะเมื่อใดที่เจ้าสิ่งนี้มีเพิ่มมากขึ้น ย่อมหมายความว่า ร่างกายของเราไม่สามารถรับมือกับสารพิษได้อีกแล้ว หากเป็นเช่นนั้น เราจะรับมือกับภาวะดังกล่าวอย่างไรดี ภาวะที่เรียกได้ว่า “เป็นพิษ”
       

        
            เพเนโลเป้ แซช ผู้เขียนหนังสือสุขภาพที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจไว้ในผลงานเล่มหนึ่งของเขาที่ชื่อ ล้างพิษ Detox by Penelope Sach (แปลโดย กานต์รวี ทองพูล สำนักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ) ว่า อนุมูลอิสระจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ในขณะที่เซลล์นำออกซิเจนและสารอาหารมาใช้ โดยอนุมูลเหล่านี้จะถูกกำจัดออกไปทุกวันในคนที่มีสุขภาพปกติ ต่อเมื่อต้องรับมือกับสารพิษที่มากเกินไป อนุมูลเหล่านี้จะเริ่มรวมตัวกันจนสร้างความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อต่างๆ
       
        
            สำหรับสาเหตุในการรวมตัวของเจ้าอนุมูลจอมเกเรก็มีได้หลายทาง โดยเฉพาะการบริโภคน้ำตาลทรายขาวและอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวมากเกินไป ซึ่งมีมากใน “อาหารขยะ” ที่คนเมืองมักฉวยไว้ให้อิ่มท้องมากกว่าจะคำนึงถึงสุขภาพ ส่งผลให้กระบวนการกำจัดพิษของตับเกิดอุดตัน ทั้งกระทบต่อการดูดซึมน้ำตาลในร่างกาย ทำ ให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ขณะเดียวกันก็เพิ่มอัตราเสี่ยงในการก่อให้เกิดโรคเบาหวานด้วย

 แต่ใช่เพียงอาหารขยะเท่านั้น สารพิษจากสาเหตุอื่นๆ และจากการรับสารเหล่านั้นเข้าสู่ภายในร่างกายทั้งโดยรู้และไม่รู้ตัวล้วนส่งผลต่อสุขภาพทั้งสิ้น เมื่อจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับสารพิษบางอย่าง เพเนโลเป้ จึงเน้นย้ำให้เราทุกคนตระหนัก ยอมรับถึงความจริงดังกล่าว และควรให้ความสำคัญกับการล้างพิษอย่างจริงจัง        
            นอกจากข้อควรจำของการล้างพิษ เช่น งดเหล้า บุหรี่, ไม่กินวิตามินใดๆ ในช่วงล้างพิษ หรือการอดทนให้พ้น 48 ชั่วโมงแรกอันแสนทรมาน แล้วหลังจากนั้นคุณจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนแล้ว ข้อมูลอื่นๆ ที่เพเนโลเป้ นำมาถ่ายทอดนั้นล้วนเป็นประโยชน์และเชื่อมโยงถึงการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ทั้งไม่มองข้ามหลักโภชนาการที่จำเป็นต่อร่างกาย
        
            ไม่ว่าขั้นตอนการล้างพิษของตับ ไต ลำไส้ ถุงน้ำดี ทั้งยังศึกษา ค้นคว้าไปถึงรากลึกของประวัติศาสตร์การล้างพิษด้วยภูมิปัญญาของบรรพชนนับแต่ครั้งโบราณมา หากยังคงใช้อย่างได้ผลในโลกยุคปัจจุบันที่ผู้คนมัวมุ่งหน้าสนใจวัตถุนอกกาย จนละเลยการดูแลตนเองให้มากพอ
       
        
            
“เราพบว่าชนเผ่าในทวีปแอฟริกาและอเมริกาใต้ และชนเผ่าทางตอนเหนือของอินเดียที่เรียกตัวเองว่า “ชาวฮันซา” เป็นกลุ่มชนซึ่งรับประทานอาหารที่ให้เส้นใยอาหารสูง ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ และอาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการใดๆ ทั้งสิ้น และเป็นกลุ่มชนที่พบอัตราการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ต่ำกว่าพวกเรามาก ที่คุ้นอยู่แต่กับอาหารตะวันตกที่เต็มไปด้วยอาหารขัดสี สารกันบูด และสารปรุงแต่งทั้งหลาย”
ต่อเมื่อกลับคืนสู่ความง่าย งาม ไม่ปรุงแต่ง จากอาหารที่รับประทานเข้าไปแล้ว ลองหันมาปลดเปลื้องกิเลสต่างๆ ที่คอยยั่วยุยวนใจบ้างคงดีไม่น้อย หากทำได้เช่นนั้น คงไม่เกินเลยนักที่จะกล่าวว่า นั่นคือการ “ล้างพิษ” อย่างแท้จริงขอบคุณที่มา : ผู้จัดการออนไลน์


แนะนำ >> ออแกนิค คังเซน

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

โรคด่างขาว

โรคด่างขาว

          หลายคนคงจะรู้จัก โรคด่างขาว บางคนเรียก  โรคสะเก็ดขาว  มันก็โรคมะเร็งผิวหนัง นีเอง
          เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11พฤษภาคม 2551 เวลาประมาณ 10.00 น.วันนั้นกำลังจะเดินทางไป จ.ชลบุรี  ก่อนเดินทางก็นำรถยนต์เข้าปั๊มน้ำมันเพื่อจะเช็คลมยาง บังเอิญมีรถยนต์ยี่ห้อเมอร์ซิเดส เบนซ์ คันหนึ่งกำลังเติมลมอยู่ก่อนแล้ว ก็เลยจอดรอเพื่อจะเช็คลมยางเป็นคันต่อไป แต่เผอิญเจ้าของรถเมอร์ซิเดส เบนซ์ เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี (เมื่อก่อนดื่มเที่ยวด้วยกันเป็นประจำ) เป็นนายตำรวจยศพันตำรวจโท ปัจจุบันรับราชการอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปทุมวัน กรุงเทพ ฯ ก็เลยลงไปสนทนาปราศรัยในฐานะเพื่อนรุ่นพี่ที่เคารพรักและไม่ได้พบปะกันมานาน สอบถามสารทุกข์สุขดิบกันตามประสา พี่คนนี้ลักษณะแกคล้ายๆ อี๊ด วงฟลายแต่หน้าตาดีกว่า ลักษณะแบบนี้คงนึกออกนะว่าเป็นยังไง แต่พอคุยจ้องหน้ากันมากๆ แกก็อายๆ อยู่บ้าง เพราะไม่เจอนานหลายปี แต่ตอนนี้แกเป็นโรคด่างขาวขึ้นทั้งปากทั้งศีรษะกระ ทั่งมือเต็นไปหมด

          แกเล่าให้ฟังว่าวันจันทร์ ถึงวันศุกร์แกไปทำงานที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่กรุงเทพ ฯ ไปอยู่คนเดียว ครอบครัวไม่ได้ตามไปอยู่ด้วย  วันหยุดราชการถึงกลับไปอยู่กับครอบครัวที่ จ.ระยอง เมื่อวันทำงานเวลารับประทานอาหารทุกมื้อ *ลูกน้องจะเป็นผู้ไปซื้ออาหารมาให้ คือพี่แกเป็นคนรับประทานอะไรง่ายๆ อาหารทุกอย่างจะใส่กล่องโฟมมาตลอด แกบอกรับประทานอาหารที่ใส่กล่องโฟมแบบนี้ทุกมื้อเป็นเวลาประมาณ 2 ปี *เท่านั้นแหละ โรคด่างขาวมันอาละวาด ลุกลามเต็มตัว และรวดเร็วมาก ทุกวันนี้ต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลศิริราช แพทย์จะให้ยามาทาหลอดหนึ่งราคา 1,800.- บาท แกบอกรักษามา 6 เดือนแล้ว

          ตอนนี้ดีขึ้นมากตั้งแต่นั้นมา แกบอกว่า เวลาลูกน้องไปซื้ออาหารห้ามใส่กล่องโฟมโดยเด็ดขาด ให้ใส่ถุงพลาสติคเพียงอย่างเดียว ซึ่งแพทย์บอกว่าถุงพลาสติคยังไม่ค่อยอันตรายเท่าไร เพราะกล่องโฟมเวลาโดนอาหารร้อนๆ จะมีสารชนิดหนึ่งละลายออกมาอยู่ในอาหารในกล่อง พอเรารับประทานเข้าไปมากๆ ก็จะเป็นผลเสียต่อร่างกาย

          ที่เล่าให้ฟัง เพราะห่วงเพื่อนๆ และน้องๆ มาก ทุกวันนี้โรคภัยไข้เจ็บมันมีมากจริงๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง มันจะก่อเกิดมาจากอาหารการกินและอากาศที่เป็นพิษในบรรยากาศ ยังไงเกิดมาชาติหนึ่ง ร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา ธรรมชาติให้เราเอามาใช้ (บางคนก็ใช้ชั่วคราวบางคนก็ใช้ถึง 70 - 80 ปีหรือมากกว่านั้น แล้วแต่อายุขัย) รักษาดูแลมันดีๆ หน่อย อย่าใช้มันให้สิ้นเปลื้องมากนัก ตามคำพระที่ว่าอโรคยา ปรมาราภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
ที่มา : เป็นเรื่องเล่าจากอีเมล์


วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

อาหารเสริม และวิตามินเข้ามามีบทบาทในหมู่คนรักสุขภาพมาก

ปัจจุบันอาหารเสริม และวิตามินเข้ามามีบทบาทในหมู่คนรักสุขภาพมาก ด้วยความเร่งรีบ จนบางคนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง
             ตลอดจนอาหารการกินที่มีการปนเปื้อนจากสารเคมีค่อนข้างสูง ทำให้ร่างกายของเราต้องการวิตามินต่างๆ เพื่อเข้าไปช่วยฟื้นฟูสุขภาพให้กับตัวเองค่ะ อาหารเสริมชื่อก็บอกตรงๆ แล้วว่า เป็นแค่เสริม ให้ร่างกายมีประสิทธิภาพดีขึ้น ถ้าเปรียบร่างกายของเราเป็นรถยนต์ อาหารเสริมก็เหมือนน้ำมันเครื่อง คือร่างกายต้องการน้อยแต่ก็ขาดไม่ได้ค่ะ แล้วยิ่งอาหารปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ กว่าจะถึงผู้บริโภคคุณค่าทางสารอาหารก็จะลดลงไปตามระยะเวลาที่เก็บมา ยิ่งเก็บนานคุณค่าทางสารอาหารก็จะลดลงไปเลยๆ  ดังนั้นนอกจากเราได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายจากอาหารสดแล้ว เราก็ควรมีการเสริมวิตามิน และเกลือแร่เพิ่มเช่นกัน  ยกตัวอย่างเช่น ร่างกายของเราต้องการแคลเซียมวันละ 800- 1000 มิลลิกรัมต่อวัน คุณต้องดื่มนมวันละ 6-8 แก้ว ถึงจะได้รับแคลเซียมเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย  ถ้าต้องดื่มนมขนาดนี้มีหวังอ้วนพอดี
               หรือการเสริมอาหารเสริมบางประเภทเช่น Fish oil ที่มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ โอเมก้า 3  ซึ่งกรดไขมันตัวนี้จะช่วยทำให้ร่างกายมีความสมดุลมากขึ้น  คือนอกจากสรรพคุณบำรุงสมอง แล้ว ยังช่วยเข้าไปจับไขมันที่ไม่ดีได้แก่  LDL ออกมาเผาผลาญด้วย และกรดไขมันประเภทนี้ก็จะมี แต่ในปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู หรือในถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วอัลมอนด์ เป็นต้น ซึ่งอาหารประเภทนี้เราก็จะได้รับค่อนข้างน้อย ถ้าสามารถกินเป็นอาหารเสริมได้ ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของร่างกายได้ค่ะ แต่ ถ้าเกรงว่าจะสะสมในร่างกาย ก็อาจจะกิน  1 เดือนแล้วหยุดสัก 1 สัปดาห์ก็ได้ค่ะ  
              ส่วนอาหารเสริมบางชนิด เช่น คลอลาเจน  กลูต้าไทโอน ที่จะเน้นเรื่องผิวพรรณ เพิ่มความกระจ่างใส และยืดหยุ่นให้ผิวพรรณ อาจจะต้องศึกษาถึงประสิทธิภาพของอาหารเสริมเหล่านี้ก่อนว่า รับประทานเข้าไปแล้วร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นคลอลาเจนได้หรือเปล่า  เพราะบางครั้งอาหารเสริมบางประเภทก็ไม่เหมาะที่จะนำมารับประทาน
- See more at: http://tl.smmonline.net/article/1735.html#sthash.d8nyd90X.dpuf




วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

รู้หรือไม่? สะอึกที่เกิดจากการเคลื่อนไหว

Kangzen Of ChiangRAI
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

รู้หรือไม่? 
สะอึกที่เกิดจากการเคลื่อนไหว inhalatory เกร็งของไดอะแฟรมซึ่งเป็นแผ่นของกล้ามเนื้อรูปโดมที่แยกหน้าอกจากช่องท้อง 
คำว่า 'ลมหายใจ' หมายถึงกระบวนการของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับการสูดดม (การกระทำของการหายใจเข้าหรือนำออกซิเจนจากอากาศหายใจเข้าสู่ร่างกาย) และหายใจออก (การกระทำของการหายใจออกจะขับไล่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์) โดยทั่วไปแล้วการหายใจเป็นกระบวนการที่อากาศเคลื่อนตัวเข้ามาและจากปอด ตั้งอยู่ที่ฐานของปอดเป็นไดอะแฟรมซึ่งเป็นกล้ามเนื้อหลักของการหายใจที่มีหน้าที่รับผิดชอบ 45% ของอากาศที่เข้าสู่ปอดในช่วง eupnea (การหายใจที่เงียบสงบหรือการหายใจที่เหลือที่เกี่ยวข้องกับการหดตัวของไดอะแฟรมและระหว่างซี่โครง กล้ามเนื้อ)

หายใจซึ่งยังเรียกว่าการหายใจลึกที่สุดเท่าที่เป็นรูปแบบที่มีสุขภาพดีของการหายใจ มีความเชื่อกันว่าการฝึกรูปแบบของการหายใจนี้จะช่วยให้คนผ่อนคลายจึงให้บรรเทาจากความเครียดและลดอุบัติการณ์ของปัญหาความเครียดหรือความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะดำเนินการออกกำลังกายการหายใจนี้ในลักษณะที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ของตน มันต้องไม่สับสนกับการหายใจหน้าอกนั้นลมหายใจน้อยที่สุดจะถูกดึงเข้าไปในปอดโดยการเกร็งกล้ามเนื้อระหว่างซี่โครงที่อยู่ระหว่างซี่โครง จะต้องมีการตั้งข้อสังเกตว่ากล้ามเนื้อหน้าอกไม่ควรใช้ในการหายใจ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Buzzle:http://www.buzzle.com/articles/diaphragmatic หายใจ-explained.html


หน้าขาวใสด้วยโยเกิร์ต

Kangzen Of ChiangRAI
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

สูตรหน้าขาวใสที่จะนำเสนอในวันนี้ รับรองว่าง่าย ได้ผลแล้วยังประหยัดอีกด้วยค่ะ สูตรนี้สามารถใช้ได้ทุกช่วงวัยนะคะเพราะผู้ที่ให้สูตรนี้มาแม้จะอายุมากแล้วแต่ยังหน้าใสอยู่เลยค่ะ สูตรหน้าขาวใสวิธีนี้ทำอย่างไรบ้าง มาดูกันค่ะ
สูตรหน้าขาวใสด้วยโยเกิร์ต
     สูตรหน้าขาวใสที่ว่าง่ายมากนี้ มีวัตถุดิบแค่ โยเกิร์ตรสธรรมชาติอย่างเดียวค่ะ ขั้นตอนก็แค่ ให้เตรียมล้างหน้าของคุณให้สะอาดแล้วซับหน้าให้แห้ง นำโยเกิร์ตที่เตรียมไว้มาพอกบนผิวหน้าให้ทั่วๆ เกลี่ยให้บาง ๆ แล้วทิ้งไว้ให้แห้งจนเป็นแป้งติดผิวหน้า หลังจากแห้งสนิทดีแล้ว ให้ใช้ปลายนิ้วมือค่อย ๆ ขัด ๆ ออกให้ทั่วใบหน้าเหมือนการสครับหน้า เบา ๆ ให้ทั่วแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด แล้วซับหน้าให้แห้ง หลังจากนั้นทาครีมหรือโลชั่นได้ตามต้องการค่ะ
     สูตรพอกหน้าขาวด้วยโยเกิร์ตนั้น นอกจากจะทำให้คุณมีผิวหน้าที่ขาวใสขึ้นแล้ว กรดตามธรรมชาติในโยเกิร์ตยังช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่าออกให้เร็วขึ้น ให้ผิวใหม่ได้เผยออกมาหน้าจึงใสเนียน รอยด่างดำต่าง ๆ ลดเลือนลงได้อีกด้วย อีกทั้งหากผู้ที่มีปัญหาผิวมัน หากหยดน้ำมะนาวลงในโยเกิร์ตก่อนนำไปพอกหน้า ก็จะช่วยลดความมันบนผิวหน้าได้อีกด้วยค่ะ
     โดยสูตรหน้าขาวใสข้างต้นนี้สามารถทำบ่อย ๆ ได้ตามต้องการค่ะ ยิ่งพอกทุกวันได้ก็จะยิ่งเห็นผลเร็วขึ้นเท่านั้น ทั้งยังไม่เป็นอันตรายเพราะเป็นกรดอ่อนจากโยเกิร์ต จะพอกไปกินไปด้วยก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรงสวยออกมาจากข้างใน ได้ประโยชน์สองต่อในคราวเดียวกันค่ะ

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ.....หน้าขาวใสด้วยทานาคา

Kangzen Of ChiangRAI
รู้เรื่องสวย รวยสุขภาพ

   หน้าขาวใส ด้วยวิธีพอกหน้าจัดเป็นการดูแลผิวหน้าที่ควรทำเป็นประจำทุกอาทิตย์ รองลงมาจากการดูแลหน้าแบบปกติ เพราะไม่เพียงช่วยขจัดสิ่งสกปรก ยังช่วยดูแลใบหน้าให้กลับมาชุ่มชื้นและนุ่มนวลได้ด้วย โดยเฉพาะการพอกหน้าด้วยทานาคา รู้จักกันในนามผงเปลือกไม้ของประเทศพม่า หากเราเคยไปเที่ยวแถวชายแดนพม่าเช่น แม่สอด ก็จะพบผงสีเหลือง ๆ ติดป้ายขายไว้ บ้างก็เรียกว่า “สะนาคา”
สูตรหน้าขาวใสด้วยทานาคา
     ทานาคา หรือ สะนาคา เป็นไม้ชนิดหนึ่งที่คนนิยมเอามาบดเป็นผงไว้บำรุงผิวหน้า สรรพคุณมากมาย ตั้งแต่ช่วยลดสิวบนใบหน้า ลดอาการอักเสบของผิวหนัง ผดผื่นคัน รักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรีย ลดความมันบนใบหน้า ลดปัญหาผิวเช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือแม้กระทั่งป้องกันแดดได้ด้วย ถือเป็นการป้องกันแดดแบบธรรมชาติโดยไม่พึ่งสารเคมีเลยทีเดียว เห็นสรรพคุณมากมายขนาดนี้ก็คงอดใจไม่ได้ที่จะลองใช้สูตรหน้าขาวใสด้วย “ทานาคา” ดูบ้าง วิธีการไม่ยาก ดังนี้
     เตรียมวัตถุดิบ ได้แก่ ผงทานาคา 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา น้ำสะอาด 1 ช้อนชา มาผสมและตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาพอกหน้าโดยเว้นไว้เฉพาะตำแหน่งตาและริมฝีปาก หากคนไหนเป็นสิวก็สามารถทาให้หนา ๆ บริเวณนั้นได้ จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ราว 20 นาที แล้วค่อยล้างออกตามปกติด้วยโฟมหรือสบู่ล้างหน้าที่คุณมี เท่านี้ก็จะรู้สึกว่าสะอาดขึ้น และนุ่มเนียนขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พอกเลย
     จะกระซิบให้ฟังว่า สาวๆ พม่าใช้สูตรหน้าขาวด้วยทานาคา มาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนก็ไม่มีครีมกันแดดเลย “ทานาคา” สมุนไพรขึ้นชื่อจึงเป็นสูตรหน้าขาวใสด้วยธรรมชาติ แม้แต่ผิวที่บอบบางก็สามารถนำไปใช้ได้ ไม่ต้องกลัวแพ้เลยค่ะ







วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

ลงทะเบียนฟรี พิเศษ...! คอร์สทำหน้า 3 คอร์ส ลด 50%

รับปรึกษา ปัญหา สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวหน้าหมองคล้ำ

ลงทะเบียนฟรี พิเศษ...! คอร์สทำหน้า 3 คอร์ส ลด 50%

1. ชุดนวดผ่อนคลาย Beauty Zen-Massage Gel เพื่อผิวหน้ากระจ่างใส
2. ชุดบำรุงผิวหน้า Beauty Zen-Green Tea Mask เพิ่มความชุ่มชื่น และเปล่งปลั่ง
3. ชุดเผยผิวกระจ่างใส Beauty Zen-Curcumin Spa จากสมุนไพรธรรมชาติ''ขมิ้น''

หน้าลงทะเบียน http://www.kangzenofcr.com/14843967/สิว-ฝ้า-กระ-จุดด่างดำ